“เหนาะ” โผล่หนุนรัฐบาลแห่งชาติอ้างเหตุผลสารพัด พร้อมให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมระบุเพื่อความปรองดองทุกฝ่าย ไม่เอา “เหลิม” เป็นนายกฯ เตือนจับ “พระเจ้ามูลแม้ว” เมื่อไหร่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ
วันนี้ (28 ก.พ.) นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช กล่าวว่า หากมีการจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมารับโทษในประเทศไทยจากความผิดในคดีที่ดินรัชดาฯ ในช่วงเวลานี้ จะยิ่งทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟมากขึ้น เพราะเชื่อว่าจะเป็นการยิ่งเติมเชื้อเพลิงความโกรธแค้นให้กับฝ่ายที่ให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ทางเดียวที่จะทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข คือการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับทั้งฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ จากนั้นก็กราบขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีคนกลางจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยอาจมีวาระเพียง 1 ปีครึ่ง สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มีปัญหา รวมทั้งออกกฎหมายที่สามารถควบคุมไม่ให้ทั้งฝ่ายพันธมิตรฯ และฝ่ายเสื้อแดง สามารถออกมาปลุกระดมมวลชน เคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองได้
นอกจากนี้ นายเสนาะยังได้กล่าวเตือนรัฐบาลว่า ไม่ควรจะยึดติดว่าการแก้ไขวิกฤตต่างๆ ในชาติ จะต้องไปทำลายแนวทางต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่นการทุ่มเทเงินจำนวนมากไปกับนโยบายประชานิยม เพื่อหวังให้ประชาชนเสื่อมความนิยมที่มีในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งแค่คิดก็ผิดแล้ว และหากยังคงปล่อยให้ดำเนินไปเช่นนี้ อีกไม่นานประเทศชาติก็อาจจะต้องกลับไปสู่ช่วงยุควิกฤตเศรษฐกิจ เช่นเมื่อปี 2540 อีกครั้งก็เป็นได้
นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคประชาราชยืนยันว่าพรรคประชาราช และ ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินในฝ่าย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จะไม่ให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หากมีการนำเสนอชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรือแกนนำคนอื่นๆ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งในขั้นตอนการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจจะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการขัดต่อแนวทางรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งตนเองได้มีการนำเสนอไปตั้งแต่แรกแล้วว่า ทั้งฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายพรรคเพื่อไทย จะต้องไม่นำคนในพรรคของตนเองขึ้นเป็นนายกรัฐมมตรี
ส่วนรัฐบาลจะสามารถบริหารงานต่อไปได้จนครบเทอมหรือไม่นั้น คงวิเคราะห์ไม่ได้ แต่พูดได้เพียงอย่างเดียวว่า บ้านเมืองในขณะนี้ยังอยู่ในภาวะวิกฤต และหากปล่อยทิ้งไว้ประเทศชาติก็คงจะไม่มีอะไรเหลือ รวมทั้งคงจะมีสภาพความแตกแยกไม่ต่างจากประเทศกัมพูชาในอดีต