ย่อมไม่อาจปฏิเสธความจริงไปได้ว่า การชุมนุมคราวนี้ซึ่งเรียกว่าเป็นการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง แต่มีคนมาร่วมได้เพียงแค่นี้ถือว่า “เสียหาย” กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
มองในแง่ดีอาจเป็นเพราะอากาศร้อนอบอ้าว อุณหภูมิพุ่งขึ้นสูงผิดปกติในช่วงหน้าแล้งหรือเปล่าไม่ทราบ ทำให้การระดมพล “คนเสื้อแดง” เมื่อวานนี้ (24 ก.พ.) มีคนมาร่วมน้อยเกินคาด เริ่มต้นแค่หลักพัน แม้ว่าในช่วงหลังจะมีทยอยมาเพิ่ม หากกะด้วยสายตาแบบให้ราคาเกินจริงเต็มที่ก็ไม่น่าจะเกิน 20,000 คน
แต่อีกด้านหนึ่งย่อมไม่อาจปฏิเสธความจริงไปได้ว่า การชุมนุมคราวนี้ซึ่งเรียกว่าเป็นการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง แต่มีคนมาร่วมได้เพียงแค่นี้ถือว่า “เสียหาย” กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน
เพราะนั่นหมายความว่าพลังของเขาเริ่มอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นก็ต้องแยกโฟกัสเป็นฉากๆ ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ต้นก่อนลากยาวมาถึงปัจจุบัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับข้อมูลมาแบบผิดๆ ถูกๆ จากพวก “แก๊งรีดไถ” หรือเปล่า ทำให้ต้องตัดสินใจเป่านกหวีดชุมนุมใหญ่เอาในช่วงเวลาแบบนี้ ทั้งที่คนไทยส่วนมากกำลังอยู่ในอารมณ์ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในวันที่ 27 ก.พ.ถึง 1 มีนาคม
หลายคนแม้จะไม่ชอบประชาธิปัตย์ แต่คงไม่บ้าจี้ช่วยกันถล่มกระทืบซ้ำบ้านนตัวเองให้ซวนเซไปหรอก เพราะนี่คือหน้าตาของชาติ แม้บางครั้งจะเหม็นขี้หน้า แต่เพื่อเห็นแก่ส่วนรวมก็คงไม่ผสมโรงไปด้วย
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาตามความเป็นจริงก็คือ เมื่อ “ระบอบทักษิณ” ตกจากอำนาจ ไม่อาจกุมกลไกของรัฐเหมือนเมื่อก่อน นับวันยิ่งขยับเขยื้อนอะไรก็ลำบาก ติดขัดไปหมด เอาง่ายๆ แค่ปัจจุบันไม่มีเอ็นบีทีคอยถ่ายทอดสดการชุมนุม มันก็ดึงเรตติ้งไม่ขึ้น ครั้นจะหวังพึ่งพาทีวีดีสเตชั่นก็ไม่ทันกิน ไม่รู้ว่ารู้จักกันสักกี่คน
และที่สำคัญเมื่อไม่ได้คุมทุกอย่างอยู่ในมือ การโฆษณาชวนเชื่อ การบิดเบือนโดยใช้สื่อ หรือช่องทางต่างๆก็เริ่มทำได้น้อยลง แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือก็ย่อมส่งผลให้ชาวบ้าน “หูตาสว่าง”
ยิ่งมีข่าวคราวเรื่อง ละเมิด จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงออกมาถี่ยิบหนาหูขึ้นทุกวัน คนเสื้อแดง แม้จะรัก “หน้าเหลี่ยม” แต่เมื่อได้ยินเรื่องแบบนี้ หลายคนก็ตั้งสติ เริ่มถอยฉากออกมา
เพราะพิจารณาจากคนที่อยู่แวดล้อมร่วมขบวนเสื้อแดง ไม่ว่า จะเป็น จักรภพ เพ็ญแข วีระ มุสิกพงศ์ ดา ตอร์ปิโด สุชาติ นาคบางไทร ฯลฯ หรือ รายล่าสุดแม้กระทั่ง ใจ อึ้งภากรณ์ ล้วนมีข้อหาหมิ่นเบื้องสูงทั้งสิ้น ทุกอย่างมันเข้าเค้า
นอกจากนี้ในบรรดา “หัวขบวน” ตามชุมชนต่างๆ ที่รับงานกันมาก็ล้วนแตกคอกันเอง คุมกันไม่ติด ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งที่ผ่านมามีเรื่องแฉโพย หักหัวคิว” เอาเปรียบกันหน้าด้านๆ มีเรื่องมีราวโวยวายปรากฏให้เห็นเป็นข่าวอยู่เนืองๆ
ที่เห็นกันได้ชัดก็คือ กรณีของ ขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ซึ่งเคยประกาศแบบ “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กับ กลุ่ม “3 เกลอหัวขวด” ว่าจะไม่ร่วมสังฆกรรมอีกต่อไป แต่เมื่องานนี้เป็น“ภารกิจพิเศษ” เพื่อ “นายหน้าเหลี่ยม” โดยเฉพาะก็ต้องบากหน้าเข้ากรุงเทพฯ แม้จะรู้ว่าแม้จะขนคนเข้ามานับร้อย แต่ก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ มาประดับบารมีให้คนอื่นอีกรอบก็ต้องกัดฟันทน
และก็ไม่น่าแปลกใจที่ ขวัญชัย ประกาศว่า หลังจากไปร่วมที่ทำเนียบฯแล้วจะนำพลพรรคกลับอุดรฯในวันเดียวกัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะที่ต้องเข้ามาเพื่อดิ้นรนแสดงพลังของตัวเองหลังจากโดน ป.ป.ช. ชี้มูลคดีอาญา กรณีนำทีมรุมทำร้ายพันธมิตรฯอุดร
ขณะที่แกนนำคนอื่นๆ ที่เมื่อมองส่องเข้าไปภายในล้วนแล้วแต่มีลักษณะ“กลวง” แทบทั้งสิ้น ไม่มีศักยภาพส่วนตัวเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็น นพ.เหวง โตจิราการ ประทีป อึ้งทรงธรรม จรัล ดิษฐาอภิชัย คนเหล่านี้ไม่มีมวลชนอยู่ในมือ
แม้ว่าไปเหมือนเป็นการปรามาส แต่สำหรับ นพ.เหวง ขอแค่ให้ได้เดินนำม็อบ หรือได้พูดบนรถขยายเสียง แค่นี้ก็ชื่นใจแล้ว
เมื่อประมวลให้เห็นภาพดังกล่าวมาทั้งหมด ล้วนเป็นสาเหตุทำให้การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงไม่ได้อลังการ ยิ่งใหญ่ตามที่วาดหวังเอาไว้ ส่อเค้าจะต้องเสียเงินเปล่าอีกรอบ และนี่อาจเป็นคำตอบว่า ทำไมถึงไม่ชุมนุมยืดเยื้อ
เมื่อจำนวนคนมีแค่นี้อย่าหวังว่าจะสร้างแรงกดดันอะไรได้ ขณะเดียวกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศจะเดินฝ่าเข้าไปทำงานที่ทำเนียบฯในวันนี้ (25 ก.พ.)
เพราะนอกจากประเมินในด้านจำนวนคนแล้ว ยังเป็นจิตวิทยาให้เด็ดขาด เสี่ยงไปเลยว่า คนเสื้อแดงจะทำร้ายหรือขว้างขวดน้ำเข้าใส่หรือไม่ หากทำแบบนั้นก็ถือว่ายิ่งปิดเกม จบเร็วยิ่งขึ้นทันที!!