“โฆษกเพื่อไทย” เปิดเวทีค้านล่วงหน้า โวยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้า เปรียบเจ้าบุญทุ่มตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เหน็บแจกเงินมนุษย์เงินเดือนหัวละ 2,000 บาท ขึ้นรถเมล์ยังไม่พอจ่าย
วันนี้ (15 ม.ค.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.16 แสนล้านบาท ว่าเป็นมาตรการที่พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเพื่อใช้สำหรับการซื้อเสียงล่วงหน้า เป็นการสร้างภาพมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง เนื่องจากการกระตุ้นเศษฐกิจมีความจำเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ เพราะการกระแสการหมุนเวียนการเงินในระบบเศรษฐกิจหยุดนิ่ง การใช้จ่ายเงินของภาครัฐมีความจำเป็นมากและต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เม็ดเงินลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับใหญ่ การอนุมัติงบแสนกว่าล้านบาทเศษอัดฉีดลงไปในระบบเศรษฐกิจแบ่งกระจายไปทุกภาคส่วนเป็นแนวทางที่ดี แต่จะถูกต้องเป็นธรรมต่อประชาชนทุกภาคส่วน และเป็นแนวทางที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ความจริงใจ วิธีคิดและนโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ใช่เป็นการซื้อเสียงล่วงหน้า ประชานิยมระยะสั้น แบบทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่เกิดผลดีในการสร้างงานระยะยาว
“ถือเป็นการผลาญเงินภาษีของประชาชนที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เช่น การแจกเงิน 2,000 บาท (ครั้งเดียว) ให้กับสมาชิกประกันสังคมและบุคลากรภาครัฐ ซึ่งเฉลี่ยแล้วจะได้รับเงิน ตกวันละ 5 บาท 55 สตางค์ต่อวัน ซึ่งไม่สามารถนำไปทำอะไรได้ แม้กระทั่งขึ้นรถเมล์ต่อวันก็ยังไม่เพียงพอ เชื่อว่าจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครว่าหลังจากที่ กกต. รับรองผลการเลือกตั้งให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้วว่า นายยุรนันท์ ภมรมนตรี อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคมอบอำนาจให้ทนายความไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้ระงับผลการเลือกตั้งและดำเนินการกับ กกต., กทม., ผอ.กกต.กทม. และผอ.เขตพญาไท เพราะหีบบัตรลงคะแนนในขตพญาไทนั้นมีปัญหา จึงต้องร้องให้ศาลระงับผลการเลือกตั้งในเขตพญาไทเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
วันนี้ (15 ม.ค.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.16 แสนล้านบาท ว่าเป็นมาตรการที่พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเพื่อใช้สำหรับการซื้อเสียงล่วงหน้า เป็นการสร้างภาพมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง เนื่องจากการกระตุ้นเศษฐกิจมีความจำเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ เพราะการกระแสการหมุนเวียนการเงินในระบบเศรษฐกิจหยุดนิ่ง การใช้จ่ายเงินของภาครัฐมีความจำเป็นมากและต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เม็ดเงินลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับใหญ่ การอนุมัติงบแสนกว่าล้านบาทเศษอัดฉีดลงไปในระบบเศรษฐกิจแบ่งกระจายไปทุกภาคส่วนเป็นแนวทางที่ดี แต่จะถูกต้องเป็นธรรมต่อประชาชนทุกภาคส่วน และเป็นแนวทางที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ความจริงใจ วิธีคิดและนโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ใช่เป็นการซื้อเสียงล่วงหน้า ประชานิยมระยะสั้น แบบทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่เกิดผลดีในการสร้างงานระยะยาว
“ถือเป็นการผลาญเงินภาษีของประชาชนที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เช่น การแจกเงิน 2,000 บาท (ครั้งเดียว) ให้กับสมาชิกประกันสังคมและบุคลากรภาครัฐ ซึ่งเฉลี่ยแล้วจะได้รับเงิน ตกวันละ 5 บาท 55 สตางค์ต่อวัน ซึ่งไม่สามารถนำไปทำอะไรได้ แม้กระทั่งขึ้นรถเมล์ต่อวันก็ยังไม่เพียงพอ เชื่อว่าจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้” นายพร้อมพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครว่าหลังจากที่ กกต. รับรองผลการเลือกตั้งให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้วว่า นายยุรนันท์ ภมรมนตรี อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคมอบอำนาจให้ทนายความไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้ระงับผลการเลือกตั้งและดำเนินการกับ กกต., กทม., ผอ.กกต.กทม. และผอ.เขตพญาไท เพราะหีบบัตรลงคะแนนในขตพญาไทนั้นมีปัญหา จึงต้องร้องให้ศาลระงับผลการเลือกตั้งในเขตพญาไทเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการเลือกตั้งครั้งต่อไป