“เพื่อไทย” รับสภาพขาดคนสังกัดพรรค 90 วัน ส่งเลือกตั้งซ่อมได้แค่ 14 เขต จำใจเปิดทาง “ประชาราช” หรือพรรคเล็กอื่นในขั้วเดียวกัน ยังอุบไต๋ “น้องสาวแม้ว” ลงสมัครหรือไม่ ส่วนผู้นำฝ่ายค้านยังหาตัวไม่ได้ อ้างรอเลือกตั้งซ่อมก่อน “มหากุเทพ” ขอวางมือ ไร้ทายาทสนใจการเมือง
วันที่ 21 ธ.ค. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการคัดสรรผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ว่า จากการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคนั้น พรรคเพื่อไทยจะส่งผู้สมัครไม่ครบทุกเขตเนื่องจากพรรคมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น คุณสมบัติของผู้สมัครที่การสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วัน แต่พรรคจะหลีกทางให้กับพรรคการเมืองที่เป็นแนวร่วมและมีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น พรรคประชาราชหรือพรรคขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติผู้สมัครครบถ้วนส่งผู้สมัครลงแทน แต่ไม่ใช่เป็นการเทคะแนนให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เพียงแต่พรรคเพื่อไทยคุณสมบัติไม่ครบจึงต้องหลีกทางให้พรรคการเมืองอื่นที่มีความพร้อมกว่า
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า เท่าที่ตรวจสอบนั้นพรรคเพื่อไทยมีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติครบถ้วนลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมได้ 14 เขตเลือกตั้ง ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ คือ เขต10 กรุงเทพฯ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะส่งนายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ลงสมัครอีกครั้ง ส่วนเขตเลือกตั้งที่3 จ.เชียงใหม่ ที่มีกระแสข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะลงสมัครนั้นตนยังไม่ทราบ แต่ยังมีเวลา เพราะยังมีเวลาถึงวันที่ 26 ธ.ค. ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งซ่อมพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.กลับมาครบทุกเขต
สำหรับการสรรหาผู้นำฝ่ายค้านนั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นอกจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงแล้ว ยังมีนายวิทยา บุรณศิริ อดีตประธานวิปรัฐบาล และ ส.ส.อีก 2-3 คนที่พรรคให้ความสนใจแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ ซึ่งพรรคยังไม่รีบ อยากให้การเลือกตั้งซ่อมเสร็จสิ้นก่อนถึงจะเลือกผู้นำฝ่ายค้าน ยอมรับว่าหากต้องเลือกผู้นำฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยต้องประชุมปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคใหม่เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าผู้นำฝ่ายค้านต้องเป็น ส.ส.และเป็นหัวหน้าพรรค
ด้าน นายกมล บันไดเพชร นายทะเบียนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องผู้นำฝ่ายค้านฯ นั้นคิดว่า ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องมี เพราะใกล้วันแถลงนโยบายรัฐบาลแล้วและพรรคคงจะเลือกบุคคลไปทำหน้าที่นี้ไม่ทัน อีกอย่างหนึ่ง อย่าลืมว่าพรรคเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พรรคเพิ่งเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่และทำงานได้ไม่กี่วัน ก็ขอให้ทำงานไปก่อน แต่ในอนาคตพรรคก็จำเป็นต้องมีผู้มีบารมีมาเป็นหัวหน้าพรรค และทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านฯ เพราะตอนนี้พรรคมี ส.ส.ย้ายมาแล้ว
นายกมล กล่าวอีกว่า การยุบพรรคพลังประชาชนนั้น ตนมองดูแล้วลุกลี้ลุกลน เพราะการตัดสินยุบพรรคในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา คล้ายว่าจะพยายามไม่ให้พรรคเพื่อไทยทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.29 คนใน 26 เขตนั้น ก็คล้ายว่าจะพยายามไม่ให้พรรคส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงสมัครแทนอดีต ส.ส.ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนและโดนตัดสิทธิทางการเมือง แต่ตนคิดว่าพรรคน่าจะส่งผู้สมัครลงเกือบครบยกเว้นบางเขตที่ยังพิจารณาอยู่ หากพรรคส่งผู้สมัครไม่ได้ก็จะสนับสนุนแนวร่วมคือพรรคประชาราชลงสมัครแทน
ผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าจะลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 หรือไม่ นายกมล กล่าวว่า ไม่ทราบ ที่ผ่านมามีข่าวลือของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เยอะเหลือเกิน โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจลงสมัครหรือไม่สมัครก็ได้ เพราะพรรคน่าจะตัดสินเรื่องนี้ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ สมมติว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ลงสมัคร ส.ส.พรรคก็มีผู้ที่เหมาะสมลงสมัครในเขตนั้นแน่นอน
นายนิสิต สินธุไพร อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 2 พรรคพลังประชาชน ในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนที่โดนตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ให้สัมภาษณ์ว่าในเขตนี้นายปิยะรัตน์ หมื่นแสน ซึ่งเป็นทีมงานการเมืองของตนในพื้นที่ลงสมัครแทนตนในนามพรรคเพื่อไทย โดยนายปิยะรัตน์มีอาชีพครู และน่าจะชนะการเลือกตั้งแน่นอน เหตุผลที่มั่นใจว่านายปิยะรัตน์จะชนะนั้นเพราะ ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทยและตนจะสนับสนุน ทั้งนี้ ยอมรับว่าตอนแรกตนจะเสนอน้องชายลงสมัคร แต่ทราบว่าน้องชายกลับไปสังกัดพรรคเพื่อเกษตรกรไทยไปแล้ว ทำให้น้องชายของตนหมดสิทธิลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง อดีต ส.ส.มหาสารคาม เขต 1 พรรคพลังประชาชน ซึ่งโดนตัดสิทธิทางการเมืองเช่นกันกล่าวในเรื่องนี้ว่า เสียดายที่ตนไม่มีตัวแทนหรือทายาททางการเมือง แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่มรดกตกทอด การเลือกตั้งนั้นมีแพ้ชนะ หากชนะก็เป็น ส.ส.หากแพ้ก็ไม่เป็นไร แต่เท่าที่ทราบข้อมูลในพื้นที่ของตนนั้น พรรคเพื่อไทยน่าจะไม่ส่งผู้สมัครในเขตนี้ เพราะมีปัญหาเรื่องการสังกัดพรรค 90 วัน แต่เขตนี้จะเป็นการต่อสู้ระหว่างนายอภิราช บรรณารักษ์ นักธุรกิจในเขตนี้และเป็นผู้สมัครพรรคประชาราช ต่อสู้กับผู้สมัครพรรคเพื่อแผ่นดิน ส่วนกระแสข่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัครก็จะเทคะแนนไปให้พรรคประชาราชนั้น ตนคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคประชาราชน่าจะไปเดินสายอธิบายกับประชาชน แม้นายอภิราชจะเป็นรอง แต่หากชี้แจงได้ก็จะชนะแน่นอน
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 2 พรรคพลังประชาชน ในฐานะอดีตโฆษกพรรคพลังประชาชนกล่าวเสริมในเรื่องเดียวกันว่า เขตนี้ตนไม่เสนอคนในครอบครัวลงสมัคร เพราะไม่มีใครสนใจการเมืองและตนก็โดนตัดสิทธิทางการเมืองแล้วจะไปยุ่งอะไรก็ไม่ได้ ก็เลยไม่สนใจอะไรในเรื่องนี้
วันที่ 21 ธ.ค. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการคัดสรรผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ว่า จากการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคนั้น พรรคเพื่อไทยจะส่งผู้สมัครไม่ครบทุกเขตเนื่องจากพรรคมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น คุณสมบัติของผู้สมัครที่การสังกัดพรรคไม่ครบ 90 วัน แต่พรรคจะหลีกทางให้กับพรรคการเมืองที่เป็นแนวร่วมและมีอุดมการณ์เดียวกัน เช่น พรรคประชาราชหรือพรรคขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติผู้สมัครครบถ้วนส่งผู้สมัครลงแทน แต่ไม่ใช่เป็นการเทคะแนนให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เพียงแต่พรรคเพื่อไทยคุณสมบัติไม่ครบจึงต้องหลีกทางให้พรรคการเมืองอื่นที่มีความพร้อมกว่า
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า เท่าที่ตรวจสอบนั้นพรรคเพื่อไทยมีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติครบถ้วนลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมได้ 14 เขตเลือกตั้ง ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ คือ เขต10 กรุงเทพฯ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะส่งนายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ลงสมัครอีกครั้ง ส่วนเขตเลือกตั้งที่3 จ.เชียงใหม่ ที่มีกระแสข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะลงสมัครนั้นตนยังไม่ทราบ แต่ยังมีเวลา เพราะยังมีเวลาถึงวันที่ 26 ธ.ค. ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งซ่อมพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.กลับมาครบทุกเขต
สำหรับการสรรหาผู้นำฝ่ายค้านนั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า นอกจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงแล้ว ยังมีนายวิทยา บุรณศิริ อดีตประธานวิปรัฐบาล และ ส.ส.อีก 2-3 คนที่พรรคให้ความสนใจแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ ซึ่งพรรคยังไม่รีบ อยากให้การเลือกตั้งซ่อมเสร็จสิ้นก่อนถึงจะเลือกผู้นำฝ่ายค้าน ยอมรับว่าหากต้องเลือกผู้นำฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยต้องประชุมปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคใหม่เนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าผู้นำฝ่ายค้านต้องเป็น ส.ส.และเป็นหัวหน้าพรรค
ด้าน นายกมล บันไดเพชร นายทะเบียนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องผู้นำฝ่ายค้านฯ นั้นคิดว่า ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องมี เพราะใกล้วันแถลงนโยบายรัฐบาลแล้วและพรรคคงจะเลือกบุคคลไปทำหน้าที่นี้ไม่ทัน อีกอย่างหนึ่ง อย่าลืมว่าพรรคเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พรรคเพิ่งเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่และทำงานได้ไม่กี่วัน ก็ขอให้ทำงานไปก่อน แต่ในอนาคตพรรคก็จำเป็นต้องมีผู้มีบารมีมาเป็นหัวหน้าพรรค และทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านฯ เพราะตอนนี้พรรคมี ส.ส.ย้ายมาแล้ว
นายกมล กล่าวอีกว่า การยุบพรรคพลังประชาชนนั้น ตนมองดูแล้วลุกลี้ลุกลน เพราะการตัดสินยุบพรรคในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา คล้ายว่าจะพยายามไม่ให้พรรคเพื่อไทยทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.29 คนใน 26 เขตนั้น ก็คล้ายว่าจะพยายามไม่ให้พรรคส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงสมัครแทนอดีต ส.ส.ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนและโดนตัดสิทธิทางการเมือง แต่ตนคิดว่าพรรคน่าจะส่งผู้สมัครลงเกือบครบยกเว้นบางเขตที่ยังพิจารณาอยู่ หากพรรคส่งผู้สมัครไม่ได้ก็จะสนับสนุนแนวร่วมคือพรรคประชาราชลงสมัครแทน
ผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าจะลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 หรือไม่ นายกมล กล่าวว่า ไม่ทราบ ที่ผ่านมามีข่าวลือของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เยอะเหลือเกิน โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจลงสมัครหรือไม่สมัครก็ได้ เพราะพรรคน่าจะตัดสินเรื่องนี้ในช่วงต้นสัปดาห์นี้ สมมติว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ลงสมัคร ส.ส.พรรคก็มีผู้ที่เหมาะสมลงสมัครในเขตนั้นแน่นอน
นายนิสิต สินธุไพร อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 2 พรรคพลังประชาชน ในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชนที่โดนตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ให้สัมภาษณ์ว่าในเขตนี้นายปิยะรัตน์ หมื่นแสน ซึ่งเป็นทีมงานการเมืองของตนในพื้นที่ลงสมัครแทนตนในนามพรรคเพื่อไทย โดยนายปิยะรัตน์มีอาชีพครู และน่าจะชนะการเลือกตั้งแน่นอน เหตุผลที่มั่นใจว่านายปิยะรัตน์จะชนะนั้นเพราะ ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทยและตนจะสนับสนุน ทั้งนี้ ยอมรับว่าตอนแรกตนจะเสนอน้องชายลงสมัคร แต่ทราบว่าน้องชายกลับไปสังกัดพรรคเพื่อเกษตรกรไทยไปแล้ว ทำให้น้องชายของตนหมดสิทธิลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง อดีต ส.ส.มหาสารคาม เขต 1 พรรคพลังประชาชน ซึ่งโดนตัดสิทธิทางการเมืองเช่นกันกล่าวในเรื่องนี้ว่า เสียดายที่ตนไม่มีตัวแทนหรือทายาททางการเมือง แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่มรดกตกทอด การเลือกตั้งนั้นมีแพ้ชนะ หากชนะก็เป็น ส.ส.หากแพ้ก็ไม่เป็นไร แต่เท่าที่ทราบข้อมูลในพื้นที่ของตนนั้น พรรคเพื่อไทยน่าจะไม่ส่งผู้สมัครในเขตนี้ เพราะมีปัญหาเรื่องการสังกัดพรรค 90 วัน แต่เขตนี้จะเป็นการต่อสู้ระหว่างนายอภิราช บรรณารักษ์ นักธุรกิจในเขตนี้และเป็นผู้สมัครพรรคประชาราช ต่อสู้กับผู้สมัครพรรคเพื่อแผ่นดิน ส่วนกระแสข่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยไม่ส่งผู้สมัครก็จะเทคะแนนไปให้พรรคประชาราชนั้น ตนคิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคประชาราชน่าจะไปเดินสายอธิบายกับประชาชน แม้นายอภิราชจะเป็นรอง แต่หากชี้แจงได้ก็จะชนะแน่นอน
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 2 พรรคพลังประชาชน ในฐานะอดีตโฆษกพรรคพลังประชาชนกล่าวเสริมในเรื่องเดียวกันว่า เขตนี้ตนไม่เสนอคนในครอบครัวลงสมัคร เพราะไม่มีใครสนใจการเมืองและตนก็โดนตัดสิทธิทางการเมืองแล้วจะไปยุ่งอะไรก็ไม่ได้ ก็เลยไม่สนใจอะไรในเรื่องนี้