นายกฯ มาร์ค กวักมือเรียก “แม้ว” กลับบ้าน

ASTVผู้จัดการออนไลน์ – นายกฯอภิสิทธิ์ ระบุ อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านเช่นกัน เชื่อสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเมตตาและพร้อมให้อภัย แต่ก็ต้องแสดงออกถึงการยอมรับกระบวนการยุติธรรมเสียก่อน และพร้อมให้เกียรติในฐานะอดีตนายกฯ ยืนยันใจกว้างพอให้เวทีคนเสื้อแดงแสดงออก-ประท้วง แต่ต้องไม่รุนแรง พร้อมเปิดช่องให้ผู้นำฝ่ายค้านมีรายการออกโทรทัศน์ด้วย

เช้าวันนี้ (18 ธ.ค.) ในรายการจมูกมด ที่ออกอากาศทางช่อง 7 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้ให้ความเห็นถึงกรณีที่วานนี้ (17) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบันหลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีของศาลฎีกาอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งได้โทรศัพท์เข้ามาพูดคุยในงานระดมทุนอุ้มความจริงวันนี้ ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น และระบุว่า มีความคาดหวังว่าจะได้กลับเมืองไทย

“ผมมั่นใจว่าจะได้กลับมา ไม่ว่าจะในสภาพไหน แต่ก็ได้กลับมา แต่ไม่กลับมาในสภาพหมดลมหายใจแน่นอน” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว

เมื่อพิธีกรรายการจมูกมด ถาม นายอภิสิทธิ์ ถึงเรื่องดังกล่าว ว่า มีโอกาสหรือไม่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาในสมัยที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ โดยนายอภิสิทธิ์ตอบว่า ตนก็อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม และยืนยันว่า จะให้เกียรติในฐานะอดีตผู้นำแน่นอน

“ผมก็อยากให้ท่านกลับ ผมคิดว่าถ้าท่านกลับมาแล้วมาต่อสู้คดีความต่างๆ และก็แสดงออกถึงการยอมรับว่า คนไทยทุกคนก็คือเสมอภาคกัน ผมเชื่อว่า ถ้ามาตรงนี้แล้วกระบวนการตัดสินต่างๆ อะไรก็เป็นที่ยอมรับ มันก็จะมีข้อยุติของมันเอง สังคมไทยเป็นสังคมที่มีลักษณะของการให้ความเมตตา และให้อภัยซึ่งกันและกัน แต่ว่าความยอมรับที่จะให้เกิดความเมตตา หรือการให้อภัย ผมก็คิดว่ามันก็อยู่ที่การแสดงออกถึงการยอมรับกระบวนการต่างๆ” นายอภิสิทธิ์กล่าว พร้อมว่า

“ผมคิดว่า ท่านมาก็จะได้รับการปฏิบัติที่ผมเชื่อว่าต้องคำนึงถึงตัวสถานะของท่านในอดีตแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และถ้าท่านยอมรับตรงนี้ผมก็ยังเชื่อนะครับว่า สังคมก็มีทางออกให้กับทุกฝ่าย”

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการยกเลิกพาสปอร์ตแดง (พาสปอร์ตทางการทูต) ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อมีกระแสว่า การเมืองมีการเปลี่ยนขั้ว และ นายอภิสิทธิ์ จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแน่นอนแล้ว ขณะที่พาสปอร์ตธรรมดานั้นอยู่ระหว่างการดำเนินการ

ทั้งนี้ การดำเนินการถอนพาสปอร์ตดังกล่าวทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาพูดในวิดีโอที่เปิดระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สนามศุภชลาศัย โดยเปรียบว่าตัวเองเหมือนกับ “หมาจนตรอก” ขณะที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับให้สัมภาษณ์ว่าไม่เป็นห่วงถึงเรื่องดังกล่าว เพราะนอกจากพาสปอร์ตไทยแล้วบิดาของตนเองนั้น มีพาสปอร์ตของประเทศอื่นๆ สำรองไว้ด้วย

รับได้เสื้อแดงชุมนุม แต่อย่ารุนแรง-ขู่เอาชีวิต

นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังได้กล่าวถึง กรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงระบุว่าจะออกมาชุมนุมประท้วงตนและรัฐบาลแน่นอนว่า การชุมนุมประท้วงนั้นเป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่อา ขู่ทำร้ายร่างกายจะเอาชีวิตเหมือนเช่นกรณีวันที่ 15 ธ.ค.ที่หน้ารัฐสภา

“ท่านจะชุมนุมชูป้าย ได้ครับไม่เป็นไร แต่ภาพในลักษณะที่ว่าเหมือนกับจงใจทำร้ายร่างกายถึงขั้นเอาชีวิต ต้องเรียนว่า เหมือนตอนที่หน้าสภา ที่มีการเอาหินไปทุบรถ ทำลายทรัพย์สิน อันนั้นต้องบอกว่าอย่าทำเลยครับ มันไม่ช่วยใครหรอกครับ นะครับ แม้กระทั่งในสิ่งที่ท่านอยากจะเรียกร้องเอง พอภาพอย่างนั้นออกไป คนส่วนใหญ่เขาก็ไม่อยากเห็นภาพอย่างนี้ มันจะกลายเป็นว่าสิ่งที่ท่านอยากจะบอกสังคม มันเลยไม่ได้บอก” นายอภิสิทธิ์ ระบุ พร้อมว่า ตนเองไม่ขัดข้องกับการประท้วงเพราะเป็นเรื่องธรรมดาของประเทศในระบอบประชาธิปไตย แต่การประท้วงต้องอยู่ในกรอบที่ไม่รุนแรง และตนเองเป็นคนรับฟังปัญหา

“ผมก็มีความเป็นนักประชาธิปไตยตรงที่ว่า ผมรับฟังและสิ่งหนึ่งที่ผมพยายามฝึกตัวเองมาตลอดคือ ใครที่ไม่เห็นด้วยกับเรา เราต้องเข้าใจให้ได้ว่าเขามีเหตุผลอะไร คือ ถ้าเราไม่เข้าใจเขา เราไม่มีทางทำให้เขา ไม่สามารถเริ่มต้นจะไปโน้มน้าวเขาได้เลย ฉะนั้น เราจะต้องเข้าใจให้ได้ว่าเขาคิดอย่างนี้เพราะอะไร เพื่อที่จะทำให้รู้ได้ว่าสาเหตุที่เขาคิดไม่ตรงกับเรา มันไม่ตรงเพราะอะไร ผมไม่ได้มองว่าถ้าไม่เห็นด้วยกับผม พอเป็นฝ่ายค้านแล้วไม่มีเหตุมีผล” นายกรัฐมนตรีคนใหม่กล่าว

พร้อมให้เวลาฝ่ายค้านออกทีวี

เมื่อพิธีกรถามว่า ในอนาคตจะมีรายการนายกฯ พบประชาชนเหมือนรัฐบาลที่ผ่านๆ มา หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ก็น่าจะมี อย่างไรก็ตาม ตนจะใช้สื่อโทรทัศน์ในการกล่าวถึงเรื่องนโยบายและผลประโยชน์สาธารณะ-ประชาชน และไม่ใช้เป็นเครื่องมือในการโต้ตอบทางการเมือง เพราะ ตามหน้าสื่อทั่วไปก็คงรายงานอยู่แล้ว และประชาชนเองก็คงเบื่อหน่ายกับเรื่องดังกล่าวด้วย

นอกจากนี้ ยังกล่าวด้วยว่า ตนพร้อมจะเปิดโอกาสให้ผู้นำฝ่ายค้านได้ออกโทรทัศน์ เพราะขณะที่ตนเป็นฝ่ายค้านก็เคยเรียกร้องเรื่องนี้ไว้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้านคงไม่ได้เวลามากเท่ากับฝ่ายรัฐบาล