ศาล รธน.นัดแถลงปิดแถลงคดี 2 ธ.ค. 3 พรรค พร้อมปฏิเสธนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานตามคำร้อง ชี้ข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิฉัยได้แล้ว เปิดโอกาสให้ตัวแทนพรรคแถลงปิดคดี ด้านทนายผู้ร้องกุมขมับศาล รธน.รวบรัดเช็กบิล
วันนี้ (28 พ.ย.) ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้ออกนั่งบัลลังก์ นำโดยนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ได้ตรวจบัญชีพยานของพรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคชาติไทย พรรคพลังประชาชนแล้ว และของทางอัยการสูงสุด (อสส.) แล้วโดยใช้เวลาพิจารณาตรวจเอกสารบัญชีพยานนานประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะออกมานั่งบัลลังก์ชี้แจงต่อคู่กรณีว่า จากเอกสารหลักฐานที่ยื่นมานั้นมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงไม่จำเป็นต้องออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานตามที่ผู้ร้องได้ยื่นขอมา แต่จะให้หัวหน้าพรรคของทั้ง 3 พรรค ส่งหัวหน้าพรรคหรือผู้แทนมาแถลงปิดคดีด้วยวาจา ในวันที่ 2 ธ.ค.เวลา 09.30 น. หากไม่มาตามนัดก็จะถือว่าไม่ติดใจ
อย่างไรก็ตาม หากผู้ร้องต้องการที่จะยื่นคำชี้แจงเพิ่มเติมก็สามารถทำเป็นคำชี้แจงมาเป็นเอกสารส่งมาให้ศาลก่อนวันที่ 2 ธ.ค. ทั้งนี้ ในส่วนที่ขอให้ศาลพิจารณากรณีให้กรรมการบริหารพรรคเป็นคู่กรณีฝ่ายที่ 3 นั้น ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถส่งมาเป็นคำชี้แจงรวมกับผู้ถูกร้องได้
ด้าน นายฉัตรชัย ชูแก้ว ทนายผู้รับมอบอำนาจจากหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวภายหลังว่า ตนคิดว่าเป็นกระบวนการพิจารณาที่เร็วมากและเป็นการรวบรัดเกินไป โดยที่พรรคมัชฌิมาฯ ยังไม่ได้มีโอกาสที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงเลย จากพยานหลักฐานที่อยู่ ทั้งนี้ในวันที่ 2 ธ.ค.จะให้นางองนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมาแถลงปิดคดีด้วยตัวเอง ส่วนในการเพิกถอนสิทธิของกรรมการบริหารพรรคนั้นให้เป็นดุลพินิจของทางคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ด้านนายธนา เบญจาทิกุล ทนายความผู้รับมอบอำนาจของพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกว่ากระบวนการพิจารณาค่อนข้างรวบรัด ทั้งที่ยังไม่ได้มีการไต่สวนหรือเปิดโอกาสให้กรรมการบริหารพรรคที่ไม่เกี่ยวข้องได้ใช้สิทธิในการชี้แจงเลย ซึ่งทางศาลได้ยกกระบวนการวิธีพิจารณา โดยใช้ข้อกำหนดของศาลมาใช้ ซึ่งก็เป็นอำนาจของศาลที่ทำได้ แต่การพิจารณาประเด็นรัฐธรรมนูญก็น่าจะให้สิทธิเราตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 40 ที่ถือว่าใหญ่กว่าข้อกำหนดวิธีพิจารณาของศาล แต่ก็ไม่เป็นไร เมื่อศาลออกมาอย่างนี้เราก็ต้องรอลุ้นว่าผลการพิจารณาจะออกมาอย่างไร ทั้งนี้ ในการแถลงปิดคดีก็ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นผู้มาแถลงด้วยวาจาในครั้งนี้ต้องมีการหารือกับทีมทนายความกันก่อนว่าจะแถลงปิดคดีอย่างไร ส่วนกรรมการบริหารพรรคจะโดนเพิกถอนสิทธิทั้งหมดหรือไม่ ก็เป็นดุลยพินิจของตุลาการฯ ซึ่งทางผู้ร้องก็ยืนยันต่อศาลแล้วว่าไม่ปรากฏหลักฐานว่ากรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของนายยงยุทธ ติยะไพรัช