เลขา ปชป.ไม่เห็นด้วยแก้กฎหมายออกนิรโทษกรรมเพื่อคนเพียงคนเดียว และการยื่นถวายฎีกาก็เป็นการไม่บังควร เพราะดึงสถาบันเบื้องสูงมายุ่งการเมือง หนุนกองทัพปกป้องราชบัลลังก์ ชี้ นช.แม้ว ไม่เคยยอมรับคำตัดสินศาล แต่จะหาประโยชน์เพื่อตนเอง
วันนี้ (4 พ.ย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพแสดงความอึดอัดใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่า การที่ ผบ.เหล่าทัพให้ความเอาใจใส่เรื่องนี้เป็นพิเศษเป็นเรื่องที่ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้ว ทหารเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และของชาติ ดังนั้น ต้องดูแลรักษาไม่ให้ใครเข้าไปล่วงละเมิดโดยต้องตรวจสอบและเอาจริงเอาจัง ทั้งนี้ ตนสังเกตเห็นเหมือนที่ประชาชนสังเกตเห็น คือ ขณะนี้ได้มีคนบางกลุ่มพยายามที่จะดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องเคารพเทิดทูนสูงสุด ไม่ควรจะไปก้าวล่วง เพราะฉะนั้นตนขอให้กำลังใจกองทัพทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อย่าไปยอมให้ใครล่วงละเมิดได้
นายสุเทพ กล่าวว่า ตนเห็นว่า ขณะนี้กองทัพทำถูกต้องแล้ว คือ ไม่ยอมเป็นของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เป็นกองทัพของชาติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง น่าจะทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจได้ว่าเรามีหลัก เพราะถ้าขืนกองทัพไปเล่นตามกระแสถูกดึงไปใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมืองก็จะทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิงเสียหายกระทบกระเทือนต่อหลักการของระบบประชาธิปไตย ดังนั้น ตนคิดว่า แต่ละคนควรแยกกันใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป
“พรรค ปชป.ยืนยันในหลักการมาตลอดว่ากองทัพไม่ควรจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองที่มีข่าวมีความพยายามเรียกร้องที่จะให้กองทัพเข้ามาปฏิวัติยึดอำนาจเพื่อแก้ไขปัญหาผมดีใจที่เห็นผู้นำเหล่าทัพโดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ (เผ่าจินดา ผบ.ทบ.) ที่ได้ยืนยันออกมาแน่นอนว่าเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นทหารของชาติไม่ใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ประสงค์ที่จะเข้ามายึดอำนาจ หรือปฏิวัติ ซึ่งผมก็ยืนยันว่า ผบ.ทบ.ทำถูกต้องแล้ว”
ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน อ้างประชาชนเป็นคนล่ารายชื่อเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เองไม่เกี่ยวข้องกับพรรคนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ความจริงแล้วตนหลีกเลี่ยงที่จะไม่วิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ตนรู้สึกเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ในประเทศว่าลักษณะท่าทีที่แสดงออกมาทั้งหมดไม่ถูกต้อง ซึ่งเห็นชัดเจนว่าทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเคลื่อนไหวทั้งการขอพระราชทานอภัยโทษกับนิรโทษกรรม เพราะการนิรโทษกรรมหมายความว่าต้องออกกฎหมาย ซึ่งกฎหมายที่ตราขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนๆ เดียว แต่ต้องเพื่อประเทศชาติและประชาชนทั้งชาติ ดังนั้นการจะนิรโทรกรรมโดยตรากฎหมายเป็นพิเศษโดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาที่รัฐบาลคุมเสียงอยู่ถือว่าไม่ถูกต้อง
ส่วนการล่ารายชื่อประชาชนเพื่อยื่นถวายฎีกา หรือเสนอกฎหมายนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ถือเป็นเจตนาที่ไม่สุจริตอยู่แล้ว และไม่บังควรอย่างยิ่ง เพราะศาลได้พิจารณาพิพากษาคดีในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และไม่เคยมีว่าเมื่อศาลมีคำพิพากษาอย่างไรแล้วจะมาดิ้นรนเพื่อถวายฎีกา และกรณีของ นายวีระ มุสิกพงศ์ ที่เคยหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ต้องเข้าคุกยอมรับโทษก่อน แล้วสำนึกผิด จึงได้ขอถวายฎีกา แต่ในกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ศาลพิพากษาจำคุกแล้วไม่ยอมรับ แต่หนีออกนอกประเทศ ดังนั้นการจะมาถวายฎีก็ถือว่าไม่เหมาะสม
สำหรับกรณีที่นักกฎหมาย ระบุว่า สามารถยื่นถวายฎีกาก่อนโดยไม่ต้องถูกจำคุกได้นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ตนคงไม่ไปโต้เถียง เพราะเป็นช่วงทางตามกฎหมาย แต่ที่ตนรู้สึกและเห็นมาเป็นเช่นนี้ และคนที่จะทำเรื่องเหล่านี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่จะทำนั้นเหมาะสมหรือบังควรหรือไม่
เมื่อถามว่าจะฝากอะไรถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนกันนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า คงฝากไม่ไหวแล้ว เพราะเขาไปไกลเกินจนกู่ไม่กลับแล้ว
