“โฆษกหัวขวด” โบ้ย! มือบึ้มเรียกกระแสให้พันธมิตรฯ

“ณัฐวุฒิ” ปัดพัลวัน รัฐบาลไม่เกี่ยวข้องเหตุระเบิด หรือยิงปืนใส่พันธมิตรฯ อ้างไม่เคยสั่งการ หรือจ้างวานให้ใครทำ เพราะไม่เกิดประโยชน์ โบ้ยเป็นการสร้างกระแสให้การชุมนุม ตีฝีปากขอร้องพันธมิตรฯ เลิกอ้างเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องเบื้องสูง ทำขึงขังรัฐบาลพร้อมจัดการพวกหมิ่นฯ อย่างเด็ดขาด อ้อมแอ้ม นปช.จัดชุมนุมเป็นสิทธิ รัฐบาลห้ามไม่ได้

วันนี้ (30 ต.ค.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่เกิดเหตุระเบิดใส่การ์ดพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวาน และมีการใช้อาวุธยิงขู่หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา ว่า ขอเรียนประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง ว่า รัฐบาลยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด หรือใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มพันธมิตรฯ และทุกเหตุการณ์ที่ใช้กำลังกับผู้ชุมนุมทุกกรณีและทุกฝ่าย เหตุที่ต้องยืนยัน เพราะว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ บอกชัดเจนว่า เป็นฝีมือของรัฐบาลที่มีการจ้างวานมา

“ขอยืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลของประชาชน รัฐบาลไม่เคยมีความคิดนี้ และไม่เคยมีการสั่งการให้ดำเนินการใดๆ รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย และถ้าพิจารณาโดยเหตุผล จะไม่เห็นผลประโยชน์ใดๆ ที่รัฐบาลจะดำเนินการให้เกิดความรุนแรง มีแต่การจะสร้างปัญหา สร้างความกดดันในการทำงานของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น” นายณัฐวุฒิ กล่าวอ้าง

อดีตสมาชิก 3 เกลอ แห่งเอ็นบีที กล่าวอีกว่า เป็นที่สังเกตว่า เมื่อการชุมนุมของพันธมิตรฯ เริ่มอ่อนกระแสลง ไม่สามารถสร้างเงื่อนไข สร้างแรงเสียดทานให้กับรัฐบาลได้อีก แต่จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อสร้างกระแสให้เกิดขึ้นกับรัฐบาล ซึ่งที่ตนพูดไม่ได้หมายความว่า เป็นการกระทำของพันธมิตรฯ แต่เป็นการตั้งข้อสังเกตไว้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจะเป็นกลุ่มใด หรือคนใดนั้น นายกรัฐมนตรี ผบช.น.และ ผบ.ตร.ได้สั่งให้มีการตรวจสอบ และนำตัวคนผิดมาดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดแล้วในขณะนี้

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า จะเห็นได้ว่า ความเคลื่อนไหวในรอบสัปดาห์ มีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อสังคมโลก และสังคมไทย ที่อาจเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ต่อระบอบประชาธิปไตย ตนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ไม่ว่า พันธมิตรฯ หรือมือที่สาม ที่อยู่ในมุมมืด หรือฝ่ายใดก็ตาม ขอให้คำนึงถึงความอยู่รอดของประเทศ และขอให้งดเว้นการนำไปสู่ความรุนแรงทุกวิถีทาง และขอเรียกร้องไปยังบุคคลใดก็ตามที่ใช้ประเด็นสถาบันเบื้องสูง มาเป็นข้ออ้างในการเคลื่อนไหว รวมถึงไม่ว่าจะเป็นสื่อแขนงใด หรือกลุ่มใด หากทำการละเมิดเบื้องสูง รัฐบาลจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ไม่มีข้อยกเว้น และขอให้พันธมิตรฯ ยุติการกล่าวอ้างว่า การเคลื่อนไหวของพวกตนเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสถาบันเบื้องสูง เพราะคนไทยทุกคนมีจิตวิญญาณในการเคารพ และจงรักภักดีต่อสถาบันมานับร้อยปีพันปี และสถาบันยังมีความสง่างามอยู่ตลอดไป โดยไม่จำเป็นต้องมีพันธมติรฯ ออกมาเคลื่อนไหว แสดงความปกป้องแต่อย่างใด เพราะการปกป้องสถาบันเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนอยู่แล้ว และขอให้ประชาชนตั้งสติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากเกินไป เพราะรัฐบาลจะพยายามแก้ไขอย่างดีที่สุด และระมัดระวังการไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงอีกต่อไป

เมื่อถามว่า รัฐบาลจะขอให้ นปช.ยกเลิกการจัดงานความจริงวันนี้สัญจร ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ต้องขึ้นอยู่กับผู้จัดงานจะพิจารณา รัฐบาลคงจะไม่มีความเห็นใดๆ กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มใดๆ ที่เป็นไปตามกฎหมาย และเป็นการใช้สิทธิการชุมนุมโดยชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย แต่จะต้องคำนึงถึงความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของผู้ชุมนุม ถ้ามั่นใจว่า จะดูแลเรื่องเหล่านี้ได้ก็อยู่ที่ผู้จัดงาน รัฐบาลไม่สามารถไม่สามารถไปปิดกั้นการชุมนุมได้

“ซึ่งหากตั้งใจว่า สามารถดูแลความเรียบร้อยไปได้ก็เป็นสิทธิ์ รัฐบาลไม่สามารถสกัดกั้น แต่เมื่อความจริงวันนี้เขาจะเริ่มสี่โมง และไม่เคลื่อนไหวไปไหน ก็เป็นสิทธิที่เขาจะดำเนินการได้ ส่วนถ้าการชุมนุมจะไปละเมิดใคร หรือมีการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทางผู้จัดงานและผู้ชุมนุมต้องรับผิดชอบตัวเอง” นายณัฐวุฒิ กล่าว

ส่วนกรณีที่ นายดิสธร วัชโรทัย ประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้นำกระแสพระราชดำรัสฝากผ่านมา ว่า ถ้ารักในหลวงขอให้อยู่บ้าน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีเรื่องนี้ แต่วันนี้บุคคลที่ทำงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทได้กรุณาออกมาแสดงความเห็นเป็นไปในแนวทางเดียวกันว่าอยากให้ทุกคนใช้สันติวิธีอยู่ภายใต้กฎหมาย ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองว่าเหมาะควรจะเอาไปปฏิบัติหรือไม่ ตนเห็นว่า แนวทางดังกล่าวจะเป็นประโยชน์และสังคมไทยจะต้องนำไปคิดพิจารณาร่วมกัน

ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ออกแถลงการณ์เชิญให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นคนกลางแก้ปัญหาความขัดแย้งนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นความเห็นของ ส.ส.นายกฯ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เห็นด้วยกับข้อคิดของ พล.อ.เปรม วันนี้ถ้าทุกฝ่ายพร้อมใจกันเจรจา ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าจะทำ