อดีตทูต ชี้ หัวใจของประชาธิปไตย คือ สิทธิของพลเมืองที่จะกระทำการเปลี่ยนแปลง ต่างกับประชาธิปไตยระบอบทักษิณ ที่ยัดเยียดสูตรสำเร็จใส่สมองประชาชน ย้ำชัด การเมืองใหม่ ต้องปลอดคอร์รัปชัน ไม่ลดทอดอำนาจของประชาชนให้เหลือแต่การเลือกตั้ง และต้องไม่สร้างความแตกแยก
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสุรพงษ์ ชัยนาม ปราศรัย
วันนี้ (8 ก.ย.) เวลาประมาณ 20.20 น.นายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ กล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้าทำเนียบรัฐบาล ว่า ประเด็นที่อยากพูดวันนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องคิดให้ดี นั่นคือ ความหมายที่แท้จริงของคำว่า ประชาธิปไตย ซึ่งความเข้าใจว่า ประชาธิปไตย คือ การเลือกตั้ง การถ่วงดุลระหว่าง 3 อำนาจ พรรคการเมือง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ความหมายที่แท้จริงและหัวใจของคำว่า ประชาธิปไตย คือ สิทธิของพลเมืองที่จะกระทำความเปลี่ยนแปลง ในทางกลับกัน ความคิดที่ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ เป็นความคิดที่เป็นเผด็จการ และไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งระยะเวลา 3 เดือนกว่า เพราะเราถือว่า ประชาชนมีสิทธินำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง และเราก็เชื่อว่าไม่มีอะไรในโลกที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้
วันนี้ การที่ นายสมัคร สุนทรเวช ออกมาประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นการกระทำไม่มีเหตุผลอะไรเลย แต่ประกาศออกมาเพราะต้องการผลักไสบาปมาให้พี่น้อง ทำให้เราเป็นตัวปัญหา และทำให้พรรคพลังประชาชน รัฐบาลหุ่นเชิดพ้นพิด ทั้งๆ ที่ปัญหาทั้งหมด มาจากรัฐบาลสมัคร
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า มีการพูดว่าแนวคิดการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ เป็นแนวคิดที่ทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง แต่เราไม่หวั่นไหว เพราะเราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ซึ่งตลอดเวลากว่า 3,000 ปี ที่มีประชาธิปไตยเกิดขึ้น ไม่ว่าประเทศไหนที่มีรัฐธรรมนูญ ไม่มีสูตรสำเร็จและมีคำตอบทุกเรื่อง ซึ่งสาเหตุที่เราต้องออกมาต่อต้าน เพราะรัฐบาลสมัยทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ยัดเยียดว่า ประชาธิปไตยเป็นสูตรสำเร็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ที่เรามา เพราะเราไม่ต้องการถูดยัดเยียด ซึ่งในกลไกประชาธิปไตยนั่น ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ดังนั้น สิ่งที่เขายัดเยียดให้เรา เป็นสิ่งที่เราไม่ยอมรับ
“ประชาธิปไตยเปลี่ยนแปลงแปลงตามค่านิยม ประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยกำหนดรูปแบบการเมืองใหม่ ซึ่งไม่มีรายละเอียดที่ตายตัว แต่อย่างน้อยประชาธิปไตยสำหรับการเมืองใหม่ ต้องไม่มีเรื่องคอร์รัปชัน ไม่ลดทอดอำนาจประชาชนให้เหลือแต่การเลือกตั้ง และต้องไม่ทำลายความยุติธรรมในสังคม ซึ่งการเมืองใหม่ถึงแม้ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราตามความเหมาะสม แต่ก็ต้องเป็นรัฐธรรมนูญภายใต้การเมืองใหม่ที่ไม่สร้างความแตกแยก” นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์กล่าวต่อว่า ดังนั้น จึงขอย้ำสิ่งเหล่านี้ให้กับพี่น้องทุกคน เพราะจะช่วยให้เราไม่หวั่นไหว หลงประเด็น ซึ่งหลังจากนี้ต่อไป สถานการณ์ต่างๆ จะเคลื่อนไหวเร็วขึ้น และจะมีสิ่งที่มากระทบ บั่นทอนความมั่นคงของเรา แต่ถ้าเรายังยึดมั่นว่าจุดยืนของเราคืออะไร รับรองว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคมได้