ส.ว.กรุงเทพฯ “รสนา โตสิตระกูล” แฉ เล่ห์ “หุ่นเชิด” เรียกประชุมร่วม 2 สภา ที่แท้หวังสร้างความชอบธรรมในการตั้งคณะกรรมการร่วม ขึ้นมาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ให้กับตัวเองและพวกพ้อง-ส.ส. “พลังแม้ว” โต้ ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน อ้าง เป็นข้อมูลที่คาดเคลื่อน ไม่เป็นความจริง
วานนี้ (1 ก.ย.) นางสาว รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ คมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนนัล ถึงกรณีการประชุมเมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า ในครั้งแรกตนมองไม่เห็นเลยว่า การที่รัฐบาลขอประชุมร่วม 2 สภา ขอความคิดเห็นบรรดา ส.ส.และ ส.ว.นั้น รัฐบาลทำเพื่ออะไร เพราะการประชุมร่วมดังกล่าวไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะถึงแม้ทุกฝ่ายจะร่วมแสดงความคิดเห็น ให้ข้อแนะนำใดๆ ไป แต่สุดท้ายแล้วนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้รับฟังความคิดเห็น หรือข้อแนะนำของคนอื่นอยู่ดี
จนกระทั่งช่วงบ่ายของวันนี้ (1 ก.ย.) ตนได้รับเอกสารฉบับหนึ่ง ที่ระบุว่า กำลังจะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมาพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งถึงแม้เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในชั้นเตรียมนำเสนอให้วิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้านพิจารณา แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ตนเริ่มรู้ได้แล้วว่า แท้จริงแล้วการที่รัฐบาลขอประชุมร่วม 2 สภา เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น แท้จริงแล้ว ก็เพื่อจะสร้างความชอบธรรมในการตั้งคณะกรรมร่วมขึ้นมาในสภา แล้วก็ใช้เสียงส่วนใหญ่ที่ตัวเองมีอยู่ในสภา ออกกฎหมายฟอกผิดให้กับพวกพ้องของตัวเองนั่นเอง
ด้าน นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.เพชรบุรี พรรคพลังประชาชน กล่าวปฏิเสธว่า เรื่องการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ตามที่ นางสาวรสนา กล่าวนั้นไม่เป็นความจริง เพราะตนก็เป็นหนึ่งในวิปรัฐบาล แต่ก็ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย ดังนั้นเรื่องนี้น่าจะเป็นการได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนของ นางสาวรสนา มากกว่า
ผู้ดำเนินรายการถามว่า แต่หากเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง นายสุชาติ จะเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร นายสุชาติ กล่าวว่า ตนคงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะการจะทำเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรก็คงต้องมีการนำมาปรึกษาในวิปรัฐบาลก่อน ไม่ใช่กระทำโดยพละการเช่นนี้
นายสุชาติ กล่าวด้วยว่า โดยส่วนตัวแล้วตนเห็นว่า การประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น ก็ถือว่าได้ประโยชน์แล้ว เพราะ ส.ส.ทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้านก็ได้แสดงความคิดเห็นอย่างชัดเจนออกสู่ประชาชนแล้ว และการร่วมกันแสดงความเห็นในสภาเช่นนี้ ก็ควรจะต้องมีต่อไป เพราะอย่างน้อยก็เป็นเวทีที่ผู้แทนของประชาชนจะได้มาพูดคุย ระดมความคิดเห็นเพื่อแก้ปัญหาให้กับบ้านเมืองร่วมกัน