“สัก” ชี้คำสั่งศาลแพ่งให้พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบ มีผลบังคับใช้เฉพาะ 6 แกนนำที่ถูกฟ้อง สั่งประชาชนเรือนแสนที่มาชุมนุมไม่ได้ แนะประเด็นอุทธรณ์ ยกเหตุประมวลกฎหมายแพ่ง ม.421 กับ ม.1337 ส่อขัดรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันยังไม่ชัดเจนว่าสำนักเลขาธิการนายกฯ มีอำนาจฟ้องหรือไม่
วันนี้ (28 ส.ค.) นายสัก กอแสงเรือง อดีตนายกสภาทนายความ กล่าวถึงกรณีที่ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามคำร้องซึ่งนายเมธี ใจสมุทร ทนายความที่ได้รับมอบหมายจากสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เรื่องละเมิดและขับไล่ออกจากทำเนียบรัฐบาลว่า คำวินิจฉัยของศาลแพ่งและการตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีผลบังคับใช้เฉพาะจำเลยทั้ง 6 คนเท่านั้น ไม่สามารถที่จะมีผลบังคับใช้ได้กับประชาชนจำนวนมากที่มาชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ยื่นฟ้องประชาชนที่มาร่วมชุมนุมได้ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิ์ของประชาชนที่จะสามารถชุมนุมได้ตามรัฐธรรมนูญ
นายสัก กล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสามารถที่จะยื่นอุทรณ์ต่อศาลแพ่งได้ โดยสามารถหยิบยกเงื่อนไขการใช้สิทธิการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ (มาตรา 63) มาต่อสู้ ดังนั้น การใช้กฎหมายแพ่งตามประมวลกฎหมายมาตรา 421 และการใช้กฎหมายแพ่งเพื่อเรียกร้องความเสียหายตามประมวลกฎหมายมาตรา 1337 น่าจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิ์ของจำเลยที่จะยกขึ้นมาต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ และ เพื่อให้ศาลได้หาทางออกโดยการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยต่อไป เพราะศาลรัฐธรรมนูญยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้
“ที่สำคัญโจทก์ที่เป็นผู้ฟ้อง ยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นเจ้าของอาคารสถานที่จริงหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องกลับไปพิจารณาว่าสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมีอำนาจยื่นฟ้องได้หรือไม่ จึงต้องกลับไปพิจารณา และคู่ความสามารถที่จะหยิบยกประเด็นทั้งหมดดังกล่าวมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นศาลได้” นายสักกล่าว
