“สนธิ” เปิดโปงแผนชั่วรัฐบาล-ตำรวจ ส่งตำรวจนอกเครื่องแบบนับร้อยปะปนในฝูงชนเข้ามาอุ้มตนเอง-จำลอง และอาศัยช่วงชุลมุน ถ้ายิงได้ก็จะยิง ลั่นถ้าเล่นนอกเกมก็พร้อมจะเล่นด้วย ย้ำถ้าตัวตายแต่พวกมันฉิบหายก็ยอม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล เปิดโปงแผนชั่วของรัฐบาล
วันนี้ (27 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลาประมาณ 19.20 น.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ขึ้นเวทีอีกครั้ง เปิดโปงแผนชั่วของรัฐบาล โดยเวลานี้ให้ตำรวจนอกเครื่องแบบซ่อนตัวจำนวนร้อยกว่าคน มาปะปนอยู่กับพี่น้องประชาชนในที่ชุมนุม ขณะเดียวกัน จะกันช่างภาพไม่ให้ถ่ายรูปเผยแพร่ออกไปทั่วโลก
“ขณะนี้มีรอง ผบ.ตร.คนหนึ่งจัดทีมจะเข้ามาอุ้มตนเองกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และถ้ายิงได้มันก็จะยิงครับพี่น้อง แต่ถ้าผมตายแล้วพวกมันฉิบหายผมยอม” นายสนธิ ระบุและว่า ตำรวจนอกเครื่องแบบซ่อนตัวอยู่ในนี้ ให้ช่างภาพระวังตัว เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้เผยแพร่ภาพออกไป
ถ้าพี่น้องคนไหนไม่พร้อมก็ให้ถอยออกไป ถ้าอยู่ขอให้ระวังตัว “ผมและพี่ลองและแกนนำทุกคนไม่กลัว แต่กลัวพี่น้องจะเจ็บตัว นี่คือ แผนชั่ว โดยใช้วิธีการ คือ ใช้รถเครื่องเสียงเปิดเสียงกลบ และให้ตำรวจที่อยู่ด้านหลัง 500 คน กับตำรวจเข้ามาในช่วงชุลมุน ดังนั้น ถ้าพวกมันเล่นนอกเกมก็จะเล่นกับมัน” นายสนธิ ประกาศกร้าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นไปอย่างคึกคัก และประชาชนส่วนใหญ่ยังคงปักหลักชุมนุมกันอย่างเนื่องแน่น หลังจากศาลมีคำสั่งอนุมัติหมายจับ 5 แกนนำพันธมิตรฯ และผู้ประสานงานอีก 4 คน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า แสงไฟในบริเวณทำเนียบรัฐบาล ซึ่งปกติจะส่องสว่างตลอดเวลากลางคืน กลับถูกปิดลง
ทั้งนี้ นายสำราญ รอดเพชร ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นแผนของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งไม่หวังดี และอาจทำให้เกิดความรุนแรง หรือทำร้ายประชาชนได้ ซึ่งวานนี้การชุมนุมของพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล แสงไฟจะสว่างกว่านี้มาก นอกจากนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังตั้งข้อสังเกตว่าหากมีการเข้าสลายการชุมนุมแล้ว จะมีการเข้าทำร้ายแกนนำทั้ง 9 คน โดยมีเป้าหมายถึงชีวิตด้วยการใช้อาวุธปืนยิงในระยะใกล้ระหว่างการเข้าจับกุม
ด้าน นายคมสันต์ ทองศิริ รองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้านครหลวง กล่าวว่า หากยังไม่มีการปิดไฟที่ทำเนียบรัฐบาลภายในเวลา 10 นาที เจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงที่ตนเองประสานไว้ใช้มาตรการเด็ดขาดทันที ซึ่งอาจสอดคล้องกับการงดจ่ายไฟในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างที่เคยมีการประกาศไว้ก็เป็นได้