แก๊ง “สามเกลอหัวกลม” เดินหน้าใช้สื่อของรัฐที่ได้จากภาษีชาวบ้าน มาด่าชาวบ้าน ขุดเรื่องในอดีตของ “สันติอโศก” มาทำลายความน่าเชื่อถือ - ปลุกระดมว่าเป็นสำนักนอกรีต ที่ไม่ควรเชื่อถือ
วานนี้ (18 ส.ค.) รายการความจริงวันนี้ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นแขกรับเชิญประจำรายการ ส่วน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน ของพรรคพลังประชาชน ที่เป็นแขกรับเชิญขาประจำอีกคน ในวันนี้ไม่ได้มาดำเนินรายการโดยให้เหตุผลว่า ขอลาป่วย โดยเนื้อหาทั้งหมดของรายการในวันนี้ มุ่งเน้นโจมตีไปที่ สมณะโพธิรักษ์ แกนนำกองทัพธรรม แห่งสำนักธรรมสันติอโศก
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการ ได้นำเอาประวัติของสมณะโพธิรักษ์ มากล่าวถึงโดยละเอียดตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็ก รวมไปถึงประวัติการศึกษา ประวัติการทำงานก่อนที่จะออกบวช จนขอแยกตัวออกจากมหาเถรสมาคม แต่ประเด็นที่มุ่งเน้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ นั่นคือ การนำเอาเรื่องในอดีตเมื่อครั้งมหาเถรสมาคม ได้มีประกาศของคณะกรรมการประกาศนียกรรมให้สมณะโพธิรักษ์ และบรรดาลูกศิษย์ในกลุ่มสันติอโศกไม่มีฐานะเป็นสมณเพศในพุทธศาสนา และสำนักธรรมสันติอโศก ก็ไม่มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2531
นอกจากนี้ ยังกล่าวอ้างถึงคำตัดสินของศาล เมื่อปี 2539 ที่ระบุว่า สมณะโพธิรักษ์ และลูกศิษย์ มีความผิดในฐานแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ และไม่กล่าววาจาลาสิกขาบทจึงตัดสินให้จำคุกลูกศิษย์ 6 เดือน จำคุกโฑะรักษ์ 66 เดือน แต่รอลงอาญาไว้ 2 ปี และห้ามประพฤติผิดซ้ำอีก
ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการจึงได้กล่าวสรุปว่า แม้สำนักสันติอโศก และสมณะโพธิรักษ์จะถูกศาลตัดสินแล้ว แต่ก็ยังไม่เลิกประพฤติผิดยังคงทำผิดอยู่อย่างซ้ำซาก จนถึงปัจจุบัน ส่วนที่ยังไม่มีการดำเนินคดีกับสำนักดังกล่าว ก็เพราะยังไม่มีใครไปฟ้องร้องดำเนินคดี แต่อย่างไรก็ตาม พวกตนเชื่อว่า หากมีใครไปฟ้องร้องให้มีการดำเนินคดีอีก คราวนี้สมณะโพธิรักษ์ และลูกศิษย์ คงไม่ได้ถูกแค่รอลงอาญาอย่างครั้งก่อนแน่
ทั้งนี้ ที่พวกตนต้องนำเรื่องราวของสำนักสันติอโศก และสมณะโพธิรักษ์ มาเล่าให้ฟังในรายการ ก็เนื่องมาจากพวกตนต้องการนำข้อเท็จจริงในอดีตมาตีแผ่ เพื่อให้ผู้ชมได้รับทราบข้อเท็จจริงของคนสำนักสันติอโศก ว่า ไม่ใช่พระสงฆ์แต่อย่างใด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดไปตามกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยังคงนั่งกราบไหว้ ใส่บาตร ให้กลุ่มคนดังกล่าวอยู่
อีกทั้งพวกตนยังเกรงว่า การที่กลุ่มคนดังกล่าวได้มีการสอนสิ่งต่างๆ ที่นอกรีต นอกรอยไปจากคำสอนของศาสนาพุทธ บนเวทีพันธมิตรฯ โดยทำทีพูดวิเคราะห์การเมือง แต่อิงหลักธรรมที่ผิดเพี้ยน แล้วถ่ายทอดสดไปทางเอเอสทีวีนั้น อาจเป็นการทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดๆ ก็ได้ ดังนั้น การที่พวกตนมาพูดในวันนี้ จึงเป็นเหมือนการมาชี้ทางสว่างให้ ส่วนผู้ชมจะคิดและตัดสินอย่างไรก็คงเป็นเรื่องวิจารณญาณของแต่ละคน
ทั้งนี้ การนำเรื่องราวของสำนักสันติอโศก มาพูดในรายการวันนี้เป็นการรับลูกนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯนั้นมีกลุ่มสันติอโศกอยู่เบื้องหลัง โดยมีลูกศิษย์อยู่นับแสนคน ทั้งที่มหาเถรสมาคมได้สั่งให้ยกเลิกไปแล้ว
ซึ่งการดำเนินรายการของ นายวีระ และ นายณัฐวุฒิ วันนี้ ยังคงให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนเช่นเคย เป็นการจงใจให้ผู้ชมมองสันติอโศกในแง่ลบ โดยเน้นไปที่คำประกาศ “ปัพพาชนียกรรม” เมื่อปี 2531 และคำพิพากษาของศาลในคดีแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ซึ่งประเด็นดังกล่าว มีจุดเริ่มต้นจากการที่สมณะโพธิรักษ์ไม่ยอมรับในพฤติกรรมที่หย่อนยานของพระโดยทั่วไป รวมถึงพระชั้นผู้ใหญ่บางองค์ จึงประกาศนานาสังวาส แยกตัวออกจากคณะสงฆ์ไทย ตั้งแต่ปี 2518 และเมื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ลูกศิษย์ของสำนักสันติอโศกเข้าสู่การเมือง และประสบความสำเร็จได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.ในปี 2528 หลังจากนั้น ได้ตั้งพรรคพลังธรรมส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2531 ได้รับเลือกตั้งมาพอสมควรแม้ว่าเพิ่งก่อตั้ง ทำให้มีความหวั่นเกรงว่าอิทธิพลของสันติอโศกจะขยายตัว มหาเถรสมาคมจึงตั้งคณะกรรมการสงฆ์ ขึ้นมาเล่นงานพระโพธิรักษ์ด้วยข้อหา “อวดอุตริมนุสสธรรม” และประกาศให้พ้นจากความเป็นพระ ส่วนในทางโลกถูกตัดสินให้ผิด พ.ร.บ.สงฆ์กรณีแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ซึ่งสมณะโพธิรักษ์และคณะศิษย์ก็ได้น้อมรับคำตัดสินไปแล้ว โดยเลิกใช้คำนำหน้าว่าพระ เปลี่ยนเป็น “สมณะ” แทน พร้อมกับเปลี่ยนจากการห่มผ้าเหลืองมาเป็นผ้าขาวและเปลี่ยนมาเป็นผ้าสีเหลืองคล้ำในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม สำนักสันติอโศกสามารถปฏิบัติตามแนวทางของตนเองได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพราะรัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิสิทธิเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาลิทธิและนิกายตามที่ตนเองศรัทธาเลื่อมใส ซึ่งในข้อเท็จจริง สมณะของสันติอโศกปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดกว่าพระสงฆ์โดยทั่วไปที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สงฆ์ด้วยซ้ำ
กระนั้นก็ตาม หลังจากที่มูลนิธิกองทัพธรรม ของสันติอโศกได้เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ เพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549 ได้มีผู้ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับสมณะโพธิรักษ์ ในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ แต่จนขณะนี้คดียังไม่มีความคืบหน้า และมีการเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับสมณะอีกครั้งหลังจากที่พันธมิตรฯ กลับมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลใหม่ ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา