“สมณะโพธิรักษ์” เทศนา “การเมืองกับพระพุทธศาสนา” แยกกันไม่ได้ แต่พุทธศาสนาต้องอยู่เหนือการเมือง และต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือ มีความเป็นอิสระและมีเสรีภาพ ระบุ “พระพุทธเจ้า” เป็นยอดนักการเมืองที่ทำเพื่อประชาชนทั้งมวลไม่ใช่เพื่อตัวเอง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สมณะโพธิรักษ์ แสดงธรรมเทศนา
วันนี้ (18 ก.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.สมณะโพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก ได้เทศนาให้กับญาติโยมที่มาร่วมชุมนุมในโอกาสวันเข้าพรรษา โดยสาระสำคัญ ชี้ให้เห็นว่า ศาสนาพุทธอยู่เหนือการเมือง และเห็นการที่บอกว่าต้องแยกการเมืองออกจากพระพุทธศาสนาแยกออกจากการเมืองเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์
สมณะโพธิรักษ์ ยกตัวอย่างว่า ในสมัยพระพุทธเจ้าเมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็ได้ทรงทำงานการเมือง เริ่มจากการเทศนาโปรดปัญจวัคคี และเทศนาสาวกรูปอื่นจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ครบ 60 รูป ก็ส่งไปประการพระศาสนา เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ไปรับใช้ประชาชน นี่คือการเมืองที่ละกิเลศ มีความซื่อตรงทั้งต่อหน้าและลับหลัง นี่คือ การเมืองเพื่อประชาชน
สมณะโพธิรักษ์ กล่าวอีกว่า ประชาธิปไตยแท้ๆ ในทางพระพุทธศาสนาแยกเป็น 10 ข้อเริ่มจากข้อ 10 ที่ว่าไม่ใช่ทำงานเพื่อเรา เพื่อพวกเรา แต่เพื่อประชาชนคนอื่น
“พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักการเมือง นักประชาธิปไตยสุดยอด เพราะในยุคของพระองค์เป็นยุคสมบูรณาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส มีวรรณะ แต่พระองค์ทรงมีธรรมนูญ คือ ศีล มีธรรมวินัยทรงกำหนดว่าถ้าใครปฏิบัติตามศีลที่กำหนดได้ ก็จะพ้นจากความเป็นทาส เพราะไม่ว่าชนชั้นใดถ้ามาบวชก็เท่าเทียมกัน ดังนั้น การเมืองในความหมายของพระพุทธศาสนาถือว่ายิ่งใหญ่” สมณะโพธิรักษ์ กล่าวและว่า เนื้อแท้ของประชาธิปไตยต้องมีอิสระต้องมีเสรีภาพอย่างแท้จริง
ในตอนท้ายได้ย้ำว่า การเมืองอย่างวิเศษ คือ ประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบ ต้องมีธรรมาธิปไตยซ้อนอยู่ และให้ร่วมกันพลิกฟื้นพุทธศาสนาที่เป็นแก่นแท้ขึ้นมา