“สมเกียรติ” ยกศีล สมาธิ ปัญญา ชี้ทางไปสู่ความสงบสุข ก่อนยกคำสอนพระพุทธเจ้า “เสียสละเพื่อความถูกต้อง” เป็นธรรมะประจำตัวของ “กลุ่มพันธมิตรฯ” ชี้ถือเป็นการการะทำเพื่อประเทศชาติแม้ต้องสละชีวิต ก่อนแผ่เมตตาให้ “ฮุนเซน-นพดล-หมัก” ไปสู่ที่ชอบ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ปราศรัย
เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.วันที่ 17 ก.ค. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่สะพานมัฆวานฯ โดยกล่าวถึงนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีว่า รัฐบาลชุดนี้มีเวรกรรม ซึ่งย่อมระงับด้วยการติดคุก และถูกประหารชีวิต รวมทั้งคนขายชาติสมควรที่จะต้องโดนแผ่นดินสูบ
“ผู้ชุมนุมโปรดสดับตรับฟังเถิดว่า หลักของศาสนาพุทธที่ว่าด้วยศีล ซึ่งถ้าผู้ปฏิบัติตาม ก็จะทำให้แน่วแน่ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง ส่วนสมาธิก็คือ ความตั้งใจแน่วแน่ และความสงบนิ่ง เพื่อแสวงหาความหลุดพ้น และสติปัญญาในการประกอบสัมมาอาชีพ ส่วนปัญญา คือกระบวนการเจริญงอกงามทางสมอง ระบบคิด และการตัดสินใจที่ชาญฉลาด ตามศาสนาพุทธแล้ว แบ่งปัญญาออกเป็น 3 ขั้น คือ 1.สูตะมายะปัญญา คือ ปัญญาย่อมเกิดจากการฟัง ดั่งที่ผู้ชุมนุมฟัง 5 แกนนำพันธมิตรฯ เพราะเวลาเราไปดาวกระจายที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เราก็จะเกิดปัญญาจากการฟัง เพราะจะรู้เรื่องการตีแผ่ และเปิดโปงว่าประเทศชาติบ้านเมืองกำลังจมดิ่ง” นายสมเกียรติ กล่าว
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า 2.จินตมายะปัญญา หรือจินตนาการ ซึ่งเกิดจากการคิด เช่น เราเห็นรัฐบาลชุดนี้โกงกินบ้านเมือง และคอร์รัปชันกันอย่างเอิกเกริก ก็จะทำให้สิ้นชาติ โดยพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกเหตุการณ์นั้นว่า วิกฤตที่สุดในโลก ในวันที่ 25 เม.ย.2549 เมื่อครั้งที่พันธมิตรฯ ไปปราศรัยที่เกาะสมุย ในวันนี้รัฐบาลหุ่นเชิดยังขายชาติอย่างไร้ยางอาย จึงเป็นการเมืองที่เสื่อมถอย และทรุดหนัก เพราะจะทำให้ประชาชนไม่มีความสุข และขาดความมั่นคงในชีวิต และสังคม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจินตนาการเรื่องการเมืองใหม่ และการเมืองใหม่
ส่วนปัญญาข้อที่ 3 นั้น นายสมเกียตริ กล่าวว่า คือ ภาวนา มายะปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนา การสงบนิ่งเพื่อครุ่นคิด แล้วใช้ปัญญามาเสริม ก็จะรู้ชัดแข้งในตัวปัญหา แต่พื้นฐานทางศีล สมาธิ และปัญญานั้น จะต้องกระทำการ 3 อย่างด้วยกัน คือ 1.จะต้องขยายการรับรู้สัมมาปัญญาที่ถูกต้อง โดยนำเอาเอเอสทีวีเข้าไปใส่แทนช่องฟรีทีวี นั่นคือการนำปัญญาขั้นขยายความรู้เข้าไปสู่ภาคประชาชน จากนั้นมวลชนก็ก่อตัวกันเป็นพันธมิตรฯ ต่างๆ แล้วช่วยกันไล่สิ่งแปลกปลอม นี่คือขบวนการสัมมาปัญญา เพราะทำให้เกิดสติปัญญาที่จะต่อต้าน และอารยะขัดขืน ที่สำคัญทำให้พันธมิตรฯ ไม่ร่อยหรอ มีแต่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“จากนั้นเราจะมีองค์กรจัดตั้ง หรือที่เราเรียกกันว่าพันธมิตรฯ ต่างๆ จะต้องหมั่นประชุม ปรึกษาหารือกัน เพื่อที่จะได้ยอมรับความคิดเห็นของกันและกัน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา ก็จะเกิดขบวนการทางปัญญาขึ้นมาอีกหลากหลายองค์กร แล้วเชื่อมเครือข่าย โดยขั้นสุดท้าย คือ การใช้ปัญญาในการปฏิบัติทางสังคม เช่น การไปล้อม กกต. หรือการไปไล่รัฐบาลก็ทำด้วยปัญญา ฉะนั้นสิ่งทั้งหลายที่แสดงธรรมะมาทั้งหมดนั้น เราเรียกว่ากระบวนการทอดผ้าป่าความรู้ และผ้าป่าความรู้ที่ดีที่สุดคือ จานเอเอสทีวี จึงขอให้ท่านทั้งหลายเลิกเอาของมาให้แกนนำพันธมิตรฯ มากเกินไป แต่อยากจะขอให้ท่านทั้งหลายที่มาชุมนุมโดยมิได้นัดหมายในวันนี้ ได้ตรึกตรองเรื่องผ้าป่ากู้ชาติให้ถ้วนถี่”
ส่วนธรรมะหมวด 2 นั้น นายสมเกียรติ กล่าวว่า ตนได้เคยปรารภกับประชาชนเอาไว้แล้ว โดยพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัส และบัญญัติเรื่องการเสียสละเอาไว้ 3 ขั้น คือ ถ้าบุคคลใดได้ยกระดับมาถึงขั้นที่ 3 ถือว่าเป็นผู้บรรลุ โดยการเสียสละขั้นที่ 1.คือ ยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ โดยกรณีดังกล่าวเป็นธรรมะขั้นต้น 2.ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เช่น ต้องตัดนิ้วที่เป็นมะเร็งทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ส่วนธรรมะระดับสูงซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสว่า สูงสุดของการให้เพื่อส่วนรวม คือการเสียชีวิต เพื่อรักษาธรรมะ และความถูกต้อง และนี่คือธรรมะประจำตัวของพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ
“วันนี้ได้ให้พร และให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมมะมาพอสมควรแล้ว จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงมีศีล คือการทำตัวให้ปกติ อย่าไหลไปซ้าย ขวา หน้า หลัง และไม่ทำอะไรที่ผิดทำนองคลองธรรม ส่วนสมาธิก็คือ การดำรงอยู่ด้วยความสงบ ตรึกตรองด้วยเหตุด้วยผล รวมทั้งจะต้องมีปัญญาคือ ท่านทั้งหลายฟังมา 50 กว่าวันแล้ว และต้องเข้าใจว่าธรรมะเป็นส่วนสำคัญของโลก และมวลมนุษย์ และองค์ประกอบสำคัญของธรรมะไม่ใช่เพื่อภพนี้ แต่เป็นภพหน้า ไม่ใช่ทำเพื่อคนๆ เดียว แต่ทำเพื่อประเทศชาติ และคนทั้งโลก ดังนั้นพวกเราจงแผ่เมตตาให้กับฮุนเซน นายนพดล ปัทมะ และนายสมัคร ให้ไปสู่ที่ชอบๆ เถิด” นายสมเกียรติ กล่าว