“อภิสิทธิ์” แนะ รมว.ต่างประเทศคนใหม่ ต้องเร่งทำความกระจ่าง ไทยไม่ยอมรับแถลงการณ์ร่วมปราสาทพระวิหาร ชี้ “นพดล” แก้ตัวขัดแย้งกันเองกับสมุดปกขาว จี้ “หมัก” ปรับ ครม.ทบทวนนโยบายผิดพลาด
วันนี้ (11 ก.ค.)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้อง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เร่งปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเร็ว ซึ่งครั้งนี้เป็นโอกาสที่นายกรัฐมนตรีจะได้ปรับใหญ่ และทบทวนนโยบายความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วแล้วแก้ไขใหม่ จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ทั้งนี้ เห็นว่า ภารกิจแรกของ รมว.ต่างประเทศคนใหม่ ที่จะเข้ามาทำงาน คือ จะต้องทำให้เกิดความชัดเจนว่าไทยไม่ยอมรับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา และสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับแถลงการณ์ร่วม ทั้งแผนที่ แผนผัง ก็ไม่ยอมรับทั้งหมด และขณะเดียวกัน ขอให้ทุกประเทศและกรรมการมรดกโลกได้เข้าใจว่าพื้นที่อนุรักษ์บริเวณดังกล่าวนั้นเป็นดินแดนของไทย ดังนั้น การที่จะให้ใครมาจัดการ ไทยจะต้องมีส่วนร่วมในการเห็นชอบ และเห็นพ้องอย่างชัดเจน ไม่ใช่ไปกำหนดภายใต้กรอบขององค์การยูเนสโก หรือคณะกรรมการมรดกโลกฝ่ายเดียว
“ควรเร็วที่สุด และอยากจะย้ำว่า หากที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีฟังพวกเรา ปรับตั้งแต่หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ปัญหาต่างๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายเรื่องจะไม่เป็นประเด็น รัฐบาลจะสามารถอยู่กับประเด็นปัญหาประชาชนได้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับกรณีที่ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ยืนยันว่า ไม่ได้ทำผิดนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นความเห็นของ นายนพดล แต่จะผิดหรือไม่ หลายๆ เรื่องได้พิสูจน์โดยคำตัดสินของศาลแล้วว่าข้อมูลที่ปฏิเสธมาตลอด ก็ต้องยอมรับ และหากใครเห็นคำอธิบายของนายนพดล ก่อนที่จะประกาศลาออกแล้วเทียบกับที่ชี้แจงในสมุดปกขาวก็ขัดแย้งกันเอง รวมถึงคำปราศรัยที่แคนาดา ก็ตรงกันข้ามกับที่ชี้แจงในสภา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องทำในขณะนี้ควรต้องมาช่วยกันคิดว่าการเดินหน้าแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จะทำอย่างไร ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังมองไม่เห็นความชัดเจนของรัฐบาลว่าจะเดินหน้าอย่างไรเพื่อให้ไทยไม่ต้องสูญเสียไปมากกว่านี้ และขณะเดียวกัน ต้องทำโดยที่ไม่ให้กระทบกับความสัมพันธ์สองประเทศ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า ที่ฝ่ายค้านพูด หรือตรวจสอบทั้งหมด ไม่ได้ไม่อยากให้พื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ต้องการให้เป็นมรดกโลกแบบสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงครอบคลุมพื้นที่ทั้งไทยและกัมพูชา และทำงานร่วมกันจริงๆ ขึ้นทะเบียนภายใต้ชื่อสองประเทศจริงๆ จะสมประโยชน์กับทุกฝ่าย และจะส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีด้วย
เมื่อถามว่า นายนพดล ยืนยันว่า การขึ้นทะเบียนมรดกโลกขึ้นเฉพาะปราสาทพระวิหารเท่านั้นไม่เกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจว่า นายนพดล ไปเซ็นโดยที่ไม่อ่านได้อย่างไร เพราะในแถลงการณ์ร่วมพูดถึงพื้นที่โดยรอบชัดเจนว่ามีผลกระทบที่ตามมาอย่างไร และรัฐมนตรีไม่เอะใจ หรืออย่างไรว่าทำไมกัมพูชาพยายามขอให้เซ็นแถลงการณ์ร่วมในวันที่ 22 พ.ค.ซึ่งเซ็นกัน 23.35 น.เหตุใดจึงไม่เอะใจว่าถ้าไม่มีความหมายเลยเหตุใดจึงเร่งดำเนินการถึงขั้นนั้น ก็เพราะเป็นเอกสารที่ต้องใช้ยืนยันความสนับสนุนของไทย
เมื่อถามว่า นายนพดล ระบุว่า ที่ต้องรีบเซ็น เพราะต้องรักษาสนามหน้าบ้านบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าไทยไม่ได้ไปแสดงความยินยอม หรือยอมรับอะไรเลย สนามหน้าบ้านของเราก็ยังต้องเป็นของเรา แต่ถ้าไปเซ็นแล้วทำให้เริ่มเกิดปัญหาว่าสนามนั้นเป็นสิทธิของเราหรือไม่
ส่วนจะสามารถห้ามคณะกรรมการฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์จาก 7 ประเทศ ไม่ให้เข้ามาในดินแดนของไทยได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยังไม่อยากให้สรุปว่าเราจะให้เข้ามาหรือไม่ แต่เห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทางฝ่ายไทยจะต้องพูดคุยเรื่องนี้ ว่า การเข้ามาทำงานเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่ายไม่ได้เป็นปัญหา แต่ต้องทราบว่าเป็นสิทธิในเรื่องอธิปไตยหรือดินแดนของไทย ไม่ใช่เรื่องที่ควรปล่อยไปเฉยๆ ไม่เช่นนั้นหากถึงเวลาที่คณะกรรมการฟื้นฟูเข้ามา และที่กัมพูชาเสนอแผนไว้อีก 1-2 ปี ต้องมีรายละเอียดทั้งหมด ถึงเวลานั้นจะทำให้มีปัญหาเช่นนี้อีก