“สดศรี” ชั้นเชิงเหลือร้ายลาก 3 กกต.“อภิชาติ-ประพันธ์-สุเมธ” คลุกฝุ่นด้วย อ้างพันธมิตรฯมาให้กำลังใจทำให้ทำงานลำบากกลายเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาธิปัตย์ ทำให้แตกแยก เสียงแข็งไม่เคยไปจีนพบ “จาตุรนต์” ช่วงเป็น กกต.แต่เล่นลิ้นเคยไปช่วงเป็นผู้พิพากษาขู่ฟ้องคนให้ร้าย ย้ำไม่รื้อ 700 สำนวนเอื้อพลังแม้วมาพิจารณาใหม่ อ้างไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้
วันนี้ (17 มิ.ย.) นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงการที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาให้กำลังใจ 3 กกต.และขับไล่ตัวเองกับ นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวงนสอบสวนออกจากตำแหน่ง ว่า การทำเช่นนี้จะทำให้ทั้ง 3 คน ทำงานด้วยความยากลำบาก เพราะจะทำให้ถูกมองว่าเป็นพวกกลุ่มพันธมิตรประชาธิปัตย์ไป ซึ่งจะกระทบกับการลงมติที่จะทำด้วยความยากลำบาก ส่วนเรื่องการขอให้ทบทวนมติคำร้อง 700 สำนวน ขณะนี้มีคนร้องเข้ามาว่ามาตรฐานที่ กกต.ทั้ง 3 คน วินิจฉัยให้ใบเหลือง ใบแดงสำหรับพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างกับพรรคพลังประชาชนอย่างไร ตอนนี้จึงเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าหากมาตรฐานการวินิจฉัย 2 พรรคแตกต่างกัน และมีการแบ่งขั้วแบ่งค่ายกัน ก็เป็นเรื่องที่ กกต.จะทำงานด้วยความยากลำบาก เหมือนกับที่นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้
นางสดศรี ยังยืนยันว่า ตามระเบียบไม่สามารถนำสำนวนคำร้องที่ กกต.ได้วินิจฉัยแล้ว กลับมาพิจารณาทบทวนใหม่ ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายศาล เมื่อตัดสินไปแล้วก็ต้องจบแค่นั้น เว้นแต่ว่ามีสำนวนใดทุจริตก็ต้องไปยื่นฟ้องต่อศาล ส่วนมาตรฐานของการวินิจฉัยใบเหลืองใบแดงสำนวนของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชาชน ต้องพิจารณาโดยละเอียด การจะให้ทบทวนหรือดูว่ามีมาตรฐานเหมือนกันหรือไม่ เป็นเรื่องลำบากเพราะเป็นเรื่องของดุลพินิจ แต่ถ้าแบ่งขั้วแบ่งค่ายกันอย่างที่พันธมิตรบอก ว่า กกต.3 คนเป็นคนของพันธมิตรประชาธิปัตย์ ก็จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งในการพิจารณาสำนวนคดี
“พันธมิตรฯ กำลังทำให้ กกต.แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นของรัฐบาล ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นของพันธมิตรประชาธิปัตย์ ซึ่งดูแล้วน่ากลัวมาก กกต.จะทำงานด้วยความยากลำบาก และวิกฤตศรัทธาของประชาชนก็จะกลับมาที่สถาบันแห่งนี้อีก” นางสดศรี กล่าว
นอกจากนี้ นางสดศรี ยังได้ชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาว่าเดินทางไปพบนายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ประเทศจีน ว่าเข้ามารับตำแหน่ง กกต. คือวันที่ 20 ก.ย. 49 หลังจากนั้นไปต่างประเทศครั้งเดียว คือ เดินทางไปประเทศเยอรมนี ในฐานะนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้าฯ โดยมี นายคำนูน สิทธิสมาน นายประพันธ์ คูณมี ที่เป็นนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าฯ ร่วมคณะไปด้วยกัน ประเทศจีนก็เคยไปช่วงที่เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โดยเดินทางไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวหาว่าเดินทางไปพบ นายจาตุรนต์ ในช่วงเดือนเมษายนปีนี้ หรือปีที่แล้ว ไม่เป็นความจริง
“พูดได้ว่าเป็นการเอาเรื่องตลกอะไรมาพูดกัน หลักฐานเป็นพาสปอร์ต ที่เป็นเอกสารราชการยืนยันได้ว่าเดินทางไปประเทศจีนปีไหน ในขณะที่ไปยังไม่ได้เป็น กกต.เลย และหลังจากที่เป็น กกต. แล้วก็ไม่เคยพบกับนายจาตุรนต์ หรือคนในบ้าน เลขที่ 111 เพราะไม่มีอะไรที่ต้องไปพบ ไม่รู้ไปเพื่ออะไร หรือจะต้องไปที่ไหน แต่ถ้าไปพบ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ที่เอเอสทีวีนั้นเคยไป เพราะเวลาไปออกรายการที่เอเอสทีวี นายสนธิ ก็รอต้อนรับอยู่ก็ไม่มีอะไร การกล่าวหาที่ไปประเทศจีนก็เห็นอยู่แล้วในพาสปอร์ตไม่มีการสแตมป์ว่าไปประเทศจีนในปีนี้หรือปีที่แล้วชัดเจน เรื่องนี้ถ้าใครกล่าวหาดิฉันก็จะดำเนินคดีต่อไป” นางสดศรี ระบุ
เมื่อถามถึงกรณีมีการกล่าวหาว่า มี กกต.ได้รับสินบนเป็นเครื่องเพชร นางสดศรี ได้ถามกลับพร้อมกับจับสร้อยไข่มุกที่สวมใส่อยู่ว่าใช่เส้นนี้หรือไม่ สำหรับสร้อยเส้นนี้ซื้อมาในราคา 199 บาท และจะให้นักข่าวในวันนี้เพื่อนำไปพิสูจน์ว่าราคาเท่าไหร่
“พี่ชอบใส่ของปลอม ไม่ได้สนใจอะไร อันนี้เป็นสร้อยที่มีเพชรนิดหน่อย และมีมุก ซึ่งราคา 199 บาท และจะให้นักข่าวไปเลย เพราะถือว่าไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน การโกหกในลักษณะแบบนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาโกหก มาเสริมแต่ง ซึ่งสร้อยเส้นนี้ 199 บาท แต่ถ้าใครประมูลและให้มากกว่านี้ก็ประมูลมาได้”
เมื่อถามว่า การถูกพันธมิตรฯโจมตี พร้อมกับ นายสมชัย มองว่า มีจุดประสงค์อย่างไร นางสดศรี กล่าวว่า ต้องไปถามนายสนธิ ลิ้มทองกุล เพราะตนไปออกเอเอสทีวีบ่อย และก็จะมีเทปที่บันทึกรายการมาให้ทุกครั้ง สำหรับตนใครเชิญไปออกรายการก็ไม่เคยรับค่าตอบแทน ถือว่าเป็นวิทยาทาน หลายครั้งที่ไปออกรายการก็ไม่เคยคิดว่าจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นคนของกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ แต่ที่ไปเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องกฎหมาย อันนี้ต้องไปถามนายสนธิว่าทำไมต้องแบ่ง กกต.ออกเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งในเรื่องทุจริต หากมีข้อมูลก็สามารถฟ้องศาลได้ พร้อมกันนี้เห็นว่าหากสงสัย เรื่องการลงมติใดๆ ของ กกต.ก็สามารถตรวจสอบได้ ซึ่ง ใบเหลือง ใบแดงนั้น มีทั้ง 2 พรรค
“มติที่ กกต.3 คน ลงมติไปเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไรไปสามารถตรวจสอบดูได้ สำหรับตัวเองแล้วมีทั้งใบเหลืองใบแดงทุกครั้ง ไม่ได้มีการว่าเป็นพรรคพลังประชาชนแล้วให้แต่ใบขาว จะให้คล้ายๆ กัน ขึ้นกับพยานหลักฐาน ไปตรวจสอบดูได้ แม้แต่กรณีของนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ก็ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนที่ว่าจะรื้อถึง 700 สำนวน ก็ไปตรวจสอบดูได้ แต่ถ้าจะให้กลับคำวินิจฉัยกฎหมายไม่ได้ว่าไว้ เมื่อทำอะไรแล้วไม่ถูกใจคนใดคนหนึ่งมันลำบากในการทำงานอย่างยิ่ง แม้แต่ศาลถ้ามีการวิพากวิจารณ์ได้ ศาลวินิจฉัยแตกต่างกันก็มี เราจะไปว่าศาลวินิจฉัยไม่เหมือนกันหรือไม่ต้องใจใครแล้วท่านทำผิด เอาที่ไหนมาเป็นบรรทัดฐาน ซึ่งก็ต้องเห็นใจด้วยว่า กกต.ทำหน้าที่ เราจึงไม่เข้าใจว่าแบ่งขั้ว กกต.เป็นกลุ่มประชาธิปัตย์ เป็นกลุ่มพลังประชาชนเพื่ออะไรกัน”
เมื่อถามว่ารู้สึกท้อหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า อโหสิ และเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะโจมตี อย่าว่าแต่ตนโดนโจมตีเลย ผู้ที่มี่คนนับหน้าถือตาอย่าง นพ.ประเวศ วสี พระพยอม กัลยาโน ก็ยังถูกโจมตี ซึ่งตนอยากบอกว่า หากพบว่ามีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ยื่นฟ้องมาได้เลย
“กกต. 5 คน เราไม่ได้แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน แต่การมาจับแยกพวกว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรฯหรือกลุ่มรัฐบาล มันไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ก็ไม่เป็นไร คนอื่นยังโดนด่าทำไมตัวเองจะไม่โดนด่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าด่าไปมากกว่านั้น อย่าลืมตัวด่าไปเกินกว่านั้น ถ้าเห็นว่า กกต.ทำงานไม่ดีก็ให้แก้กฎหมาย และยุบ กกต.หรือให้ กกต.กลับไปเป็นสังกัดของกระทรวงมหาดไทยไปเลย” นางสดศรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการให้สัมภาษณ์ในวันนี้ นางสดศรี ได้นำพาสปอร์ต มา 2 เล่ม และเปิดให้ดูการประทับตราตรวจคนเข้าเมือง ว่า ได้เดินทางไปไหนมาบ้าง โดย นางสดศรี มีพาสปอร์ต 2 เล่ม เล่มหนึ่งเป็นเล่มราชการ ที่มีการประทับตราว่าเดินทางไปประเทศเยอรมนี และอีกเล่มเป็นของบุคคลธรรมดาทั่วไป ที่มีการประทับตราว่าเดินทางไปจีน ในช่วงเป็นผู้พิพากษา แต่ไม่มีการถ่ายเอกสารแจกกับสื่อ นอกจากนี้ ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องสร้อยเพชร นางสดศรี ได้ถอดสร้อยไข่มุกที่ใส่มาในวันนี้ให้ผู้สื่อข่าวดู แม้จะไม่ใช่สร้อยเพชรที่กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวหา แต่ นางสดศรี ก็ถอดให้ผู้สื่อข่าวดู เพื่อยืนยันว่า เครื่องประดับที่ใส่ไม่ได้เป็นเครื่องประดับราคาแพง และพร้อมที่จะให้ผู้สื่อข่าว แต่ไม่มีใครรับไว้
จากนั้นในเวลา 10.00 น.นายวรัญชัย โชคชนะ นำแนวร่วมมาชุมนุมที่หน้าสำนักงาน กกต. โดยอ้างว่าเป็นกลุ่มต่อต้านพันธมิตรฯ ได้เดินทางมาให้กำลังใจการปฎิบัติหน้าที่ของ นายสมชัย จึงประเสริฐ และ นางสดศรี สัตยธรรม และโจมตี 3 กกต.ที่พันธมิตรฯมาให้กำลังใจเมื่อวานนี้ คือ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ นายสุเมธ อุปนิสากร และ นายประพันธ์ นัยโกวิท โดยเห็นว่าทั้ง 3 คน มีท่าทีและเอื้อประโยชน์กับกลุ่มพันธมิตรฯและพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผู้ชุมนุมได้ยื่นหนังสือให้กำลัง 2 กกต.รวมทั้งเผาหุ่น 3 กกต.และหุ่น นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เผาหุ่นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ก่อนที่จะสลายการชุมนุม