อัยการติงคดีกล้ายางยังแจ้งฐานความผิดไม่ครบ จี้ คตส.แจ้งเพิ่ม

อัยการติงคดีกล้ายางยังแจ้งฐานความผิดไม่ครบ จี้ คตส.แจ้งเพิ่ม หวั่นทำสำนวนอ่อน ขณะที่คตส.หลังพิงคำพิพากษาศาลฎีกา ลั่นเดินหน้าฟ้องเอง ขณะที่ “หล่อเล็ก” เตรียมบุก คตส.รับทราบข้อกล่าวหาเอี่ยวรถดับเพลิง 8 เม.ย.นี้

นายเสกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวว่า ความเห็นของคณะทำงานร่วมกันระหว่างคตส.และอัยการสูงสุดไม่ลงตัวในทางกฎหมาย แต่คงมีการประชุมในวันที่ 11 เม.ย.นี้ อีกครั้ง โดยทางอัยการเห็นว่า คตส.ยังแจ้งข้อกล่าวหาไม่ครบถ้วน เช่น มาตรา 151 ตามประมวลกฎหมายอาญา ที่ให้ต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องรับทราบก่อนในชั้นไต่สวน ซึ่งคตส.ไม่แจ้งข้อกล่าวหานี้ในชั้นไต่สวนแต่กลับแจ้งเพิ่มเติมตอนที่จะมีการส่งฟ้อง ซึ่งอาจทำให้เป็นช่องทางที่ทำให้สำนวนอ่อนได้ ซึ่งในส่วน คตส.เองก็ได้ยืนยันว่าสามารถทำได้ เพราะมีบรรทัดฐานมาจากคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้ว ทำให้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้

ด้าน นายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการ คตส.หนึ่งในคณะทำงานร่วมกับอัยการสูงสุด กล่าวว่า คตส.ยังยืนยันจุดยืนเดิมของ คตส.โดยในที่ประชุม คตส.ได้พยายามชี้แจงข้อไม่สมบูรณ์โดยเฉพาะข้อ 2.1 และ 2.4 ในเรื่องการแจ้งข้อกล่าวหาที่อัยการสูงสุด ระบุว่า คตส.แจ้งข้อกล่าวหาไม่ครบถ้วนในบางมาตรานั้น ทาง คตส.ได้ยกประเด็นการวินิจฉัยของศาลฎีกาพร้อมแนบสำเนาการวินิจฉัยนั้นให้อัยการสูงสุดว่าคดีดังกล่าวสามารถทำได้ เนื่องจากในขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหาของคตส.นั้นคือการแจ้งพฤติการณ์การกระทำที่ส่อว่าเป็นความผิดให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบ เข้าใจ และให้มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเท่านั้นหากชี้แจงได้ ก็ถือว่ายุติ แต่หากชี้แจงไม่ได้ก็ต้องไปชี้แจงที่ศาลต่อไป อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุม คตส.ได้พูดไปหมดสิ้นแล้ว ดังนั้น คตส.ก็ต้องฟ้องคดีเอง

ขณะที่ นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กทม.เปิดเผยว่า ตนได้รับการติดต่อจากนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.ว่า จะเดินทางเข้าพบคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาด้วยตัวเองในวันที่ 8 เม.ย.เวลา 10.00 น.ซึ่ง นายอภิรักษ์ สามารถใช้สิทธิชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในวันเดียวกันเลยได้ หรืออาจจะนำข้อกล่าวหาไปศึกษาก่อน และเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอีกครั้งตามกำหนดเวลา 15 วันหลังรับทราบข้อกล่าวหาก็ได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีผู้ถูกกล่าวหารายอื่นยังไม่ได้ใช้สิทธิ์คัดค้านรายชื่อคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ซึ่งระหว่างรอการคัดค้านดังกล่าว คณะอนุกรรมการได้เชิญพยานที่อยู่ในสำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอจำนวน 30 ปากมาสอบใหม่เพื่ออุดช่องว่าง