“ปธ.คปต.” เลิกแจงอนุฯ สอบ พปช.เป็นนอมินี ทรท.เหตุถูกสั่งห้ามบันทึกวิดีโอ แถมเบี่ยงเบนประเด็นสอบนอมินีไม่มี กม.บัญญัติ จ้องรอมติ กกต.ลั่นหากยกคำร้องเจอฟ้องป.ป.ช.แน่ ด้าน ปธ.อนุฯ ชี้ ไร้มารยาท หวั่นตัดบางช่วงบางตอนเผยแพร่ ทำ ปชช.สับสน
วันนี้ (18 มี.ค.) นายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) กล่าวภายหลังเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับอนุกรรมการสอบสวนกรณีพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย ที่มี นายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน ว่า ยังไม่ได้ข้อยุติ เนื่องจากก่อนเข้าชี้แจงได้ขอบันทึกภาพวิดีโอและเสียงไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งอนุกรรมการได้หารือกันประมาณ 15 นาที โดยให้ตนออกจากห้องประชุม ก่อนจะบอกว่าไม่อนุญาตบันทึกภาพ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าหากคณะอนุกรรมการบริสุทธิ์ใจจริง ก็น่าจะให้บันทึกภาพได้เหมือนกับการที่ตนชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดอื่น
“เมื่อไม่ได้บันทึกภาพ จึงตัดสินใจไม่ชี้แจงต่ออนุกรรมการและเดินทางกลับทันที แต่ก็ทราบว่าคณะอนุฯมีหนังสือ ให้ผมเดินทางมาชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงอีกครั้งในวันนี้ (19 มี.ค.) แต่ตัดสินใจแล้วว่า จะขอยุติการชี้แจงจากนี้ไป เพราะดูแล้วคณะอนุฯพยายามเบี่ยงเบนประเด็นการสอบสวน ว่า เป็นเรื่องนอมินีที่ไม่มีบัญญัติในกฎหมาย แต่ตามหนังสือที่ตนเองร้องให้สอบ คือ การที่พรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนพรรคไทยรักไทย ไม่มีคำว่านอมินีสักคำ ซึ่งการกระทำของพรรคพลังประชาชน เป็นการฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้”
นายวีระ กล่าวด้วยว่า จากนี้ไปจะรอแค่ฟังมติที่ประชุม กกต.ว่าจะสรุปเรื่องนี้อย่างไร หากไม่พอใจก็จะเดินทางฟ้องร้องคณะอนุกรรมการชุดนี้ และกกต.ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะยืนยันตนมีหลักฐานจำนวนมาก ที่ชี้ชัดว่าพรรคพลังประชาชนมีพฤติกรรม เป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทยชัดเจน
ด้าน นายไพฑูรย์ กล่าวถึงการเข้าชี้แจงของนายวีระ ว่า ก่อนที่จะมีการชี้แจงของนายวีระได้นำเครื่องบันทึกเทปวิดีโอมาติดตั้ง ทำให้อนุฯต้องถามว่า จะทำให้อะไร เมื่อได้รับคำตอบว่าจะบันทึกเทปในการชี้แจง อนุฯจึงได้หารือและแจ้งว่า ไม่สามารถอนุญาตให้บันทึกเทปขั้นตอนการชี้แจงได้ เนื่องจากหากนายวีระนำเทปไปเปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งถือเป็นบางช่วงบางตอนจะทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน จนเกิดความสับสนได้ ทำให้นายวีระเกิดความไม่พอใจ และเก็บข้าวของกลับออกไปโดยที่ไม่ได้ชี้แจงอนุ
นายไพฑูรย์ กล่าวอีกว่า หาก นายวีระ ต้องการจะทำอะไร น่าจะมีการหารือกันก่อน เพราะเป็นเรื่องของมารยาท ซึ่งเราก็พร้อมที่จะนำเทปมาบันทึกข้อความและภาพการชี้แจงของนายวีระ แต่เราไม่อนุญาตให้นำเทปไปเปิดเผย เพราะถือว่าการพิจารณาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนที่ต้องนำมาประกอบในสำนวนให้สมบูรณ์ อีกทั้งการเชิญบุคคลมาชี้แจงถือเป็นความลับในสำนวนและไม่สามารถนำไปเปิดเผยก่อนได้ ประกอบกับไม่มีคณะกรรมการชุดไหนอนุญาตให้นายวีระบันทึกเทปและภาพเป็นการส่วนตัว เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสำนวน
“ผมไม่รู้ว่านายวีระเป็นคนแบบนี้ เข้ามาถึงก็มาตั้งกล้องและอาละวาดใส่อนุกรรมการ ขึ้นต้นก็ต่อว่าเรา หากว่าเราปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ และนำกล้องบันทึกภาพและเสียงมาติดตั้ง โดยมารยาทแล้วต้องมีการหารือกันก่อน แต่ นายวีระ ไม่ได้ขอ มาถึงก็บอกว่าตัวเองมีสิทธิ์ คณะกรรมการชุดอื่นก็ให้ทำได้ คณะกรรมการชุดเราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ให้บันทึกเหมือนกัน เพราะจะทำให้กระทบต่อสำนวน อย่างนี้ก็แย่ พูดไปเขาก็ไม่ฟัง การรับฟังคำชี้แจงของพยานแต่ละคนเราก็ให้เกียรติมีมารยาทต่อกัน พูดคุยกัน ไม่ใช่มาทำเหมือนไม่ให้เกียรติกันอย่างนี้ การทำอะไรต้องมีมารยาทกันบ้าง”
อย่างไรก็ตาม อนุกรรมการต้องรับฟังข้อเท็จจริงทุกฝ่าย หากสอบถามนายวีระซึ่งเป็นผู้ร้อง เขาก็ต้องบอกว่าพรรคพลังประชาชนได้กระทำผิดมีพฤติกรรมเป็นตัวแทนพรรคไทยรักไทย แต่หากไปสอบถามฝ่ายผู้ถูกร้องเขาก็ต้องปฏิเสธว่าเขาไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างนั้น ดังนั้น เราจะเอาคำพูดของทั้ง 2 ฝ่ายมาเขียนในสำนวนคงไม่ได้ แต่เราต้องนำความคิดของเราที่นำไปประกอบกับกฎหมายต่างๆ และเขียนเป็นคำวินิจฉัยจึงจะถูกต้อง
ส่วนกรณีที่ กกต.ให้สอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น ในวันนี้ (19 มี.ค.) น่าจะชัดเจนว่าเขาจะชี้แจงเป็นเอกสาร หรือจะมาชี้แจงด้วยตนเอง แต่เชื่อว่า เขาคงไม่มาชี้แจง และคงไม่ติดใจ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพียงพยานบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างว่าพูดบันทึกเทปลงวีซีดี และนำมาแจกในประเทศไทย ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร ส่วนการวินิจฉัยข้อกฎหมายก็ต้องมาพิจารณาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้จะได้ข้อยุติในสำนวนดังกล่าว และคณะกรรมการจะสรุปเสนอคำวินิจฉัยสำนวนให้ กกต.ภายในสัปดาห์หน้า