“พันธมิตรฯ” ผนึกกำลังต่อสู้ทุกรูปแบบ เชื่อ “นอมินีแม้ว” โยก ขรก.รายวัน เชื่อมขั้วอำนาจเก่า เช็กบิลการเมือง ถามหาจริยธรรม “หมัก” อย่ามัวเป็นนักโต้วาทีรายวันหวังป้องระบอบแม้ว เตือนรัฐบาลบทเรียนหุ่นเชิด อาจย้อนรอย 19 ก.ย.
วันนี้ (9 มี.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการโยกย้ายข้าราชการประจำว่า เป็นที่ชัดเจนว่า การโยกย้ายข้าราชการประจำของรัฐบาลชุดนี้เป็น “นโยบายเช็กบิลทางการเมือง” ซึ่งจะเห็นจากล่าสุดมีคำสั่งย้าย พ.ต.อ.สังวรณ์ ภู่ไพจิตรกุล รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ (รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์) ไปช่วยราชการที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ (บก.ภ.จว.ศรีสะเกษ) ก็ชัดเจนและเป็นเรื่องเดียวกันคือการเช็กบิลข้าราชการที่เข้าไปตรวจสอบความผิดของนักการเมืองในรัฐบาลชุดนี้ เพราะ พ.ต.อ.สังวรณ์ เป็น กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ และกำลังตรวจสอบคำร้องทุจริตเลือกตั้ง ส.ส.และ อบจ.ที่บุรีรัมย์ และการตรวจสอบกรณีการรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ของนักการเมืองใหญ่เจ้าของพื้นที่ ซึ่งได้มีการสรุปสำนวนสั่งฟ้องไปแล้ว
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า ฉะนั้น ครป.ขอทวงถามจุดยืนไปยังพรรคร่วมรัฐบาลอีก 5 พรรค ที่ตั้งเงื่อนไขก่อนเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ว่าจะไม่มีนโยบายเช็กบิลทางการเมือง และแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทั้ง 5 พรรคการเมืองยังมีสัจวาจาและรักษาสัญญาประชาคมอยู่หรือไม่ หรือใช้เป็นเพียงข้ออ้าง อย่างไรก็ตาม ครป.สนับสนุนการจัดตั้งสหภาพข้าราชการ เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 64 วรรค 2 รัฐบาลควรสนับสนุนเพื่อให้ข้าราชการมีความมั่นใจในการทำงาน และมีหลักประกันว่าจะไม่ถูกอำนาจการเมืองเล่นงานหรือกลั่นแกล้งได้ ซึ่งในหลายๆ ประเทศข้าราชการก็สามารถตั้งสหภาพได้เช่นกัน
นายสุริยะใส กตะศิลา ในฐานะผู้ประสานงานของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการ การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ว่า พันธมิตรฯ ยังให้โอกาสรัฐบาลแก้ไขวิกฤตปัญหาประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง ซึ่งมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ และมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์มากกว่าการหวังผลปฏิบัติที่เป็นจริง โดยเฉพาะปัญหาราคาหมู ที่ใช้วิธีบีบผู้ประกอบการและผู้ค้ารายย่อย แต่เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ค้ารายใหญ่
“นายกรัฐมนตรีก็ควรหยุดเป็นนักโต้วาทีรายวัน และขายฝันรายสัปดาห์ได้แล้ว ถึงเวลาที่จะแสดงความเป็นมืออาชีพในฐานะนักบริหาร และไม่ควรใช้วิธีสร้างประเด็นใหม่กลบบาดแผลและความไม่เอาไหนของรัฐบาลอีกต่อไป ดูเหมือนว่านโยบายเหมือนจะสนับสนุนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผ็ประกอบการรายใหญ่” นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า การเคลื่อนไหวใดๆ ของพันธมิตรฯ จากนี้ต่อไปจะยังยึดมั่นในกรอบรัฐธรรมนูญ และหลักสันติวิธีอย่างเคร่งครัด และจะพยายามแสวงหาช่องทางในรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐให้มากที่สุด เฉกเช่นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งต่างจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการ หรือ นปก.ที่มีคนในพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ ข้อกล่าวหาจากรัฐบาลไม่ว่าใครก็ตามที่พยายามอ้างว่าพันธมิตรฯ ข่มขู่และใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายนั้นจึงไม่เป็นความจริง และมีเจตนาบิดเบือน
ส่วนการตั้งคณะกรรมการ 5 คณะเพื่อติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลชุดนี้นั้นจะแล้วเสร็จภายในเดือนนี้ และจะมีการแถลงเปิดตัวร่วมกับ 5 แกนนำพันธมิตรฯ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะมีการประชุมทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ จุดมุ่งหมายของการตรวจสอบรัฐบาลชุดนี้เพื่อให้รัฐบาลเป็นตัวแทนของคนไทย 63 ล้านคน ไม่ใช่หุ่นเชิดของคนคนเดียว และต่อต้านการแทรกแซงหรือแทรกซึมกระบวนการยุติธรรมทุกรูปแบบ ส่วนที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าพันธมิตรฯ เตือนช้าเกินไป ทำไมไม่เตือนตั้งแต่ 16 เดือนที่แล้ว ซึ่งคงหมายถึงการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นั้น นายกรัฐมนตรีคงลืมไปว่า ระบอบทักษิณได้แทรกแซงฝ่ายตุลาการ และองค์กรอิสระมาก่อนหน้านั้นหลายปีแล้ว ซึ่งหลายฝ่ายและพันธมิตรฯ เองก็ออกมาทักท้วงแต่รัฐบาลไม่ฟัง จนเป็นที่มาของการรัฐประหาร 19 ก.ย.
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า การประชุมของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ในสัปดาห์นี้จะหารือเรื่องการโยกย้าย พล.ต.อ.สังวรณ์ และการสรรหาบุคคลที่จะมาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตรวจสอบภาครัฐ
นายสุริยะใส ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ระบุว่าขณะนี้ต่างประเทศยังสับสนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ว่า ไม่ถือเป็นสาระอะไร เพราะตนได้ข้อมูลจากคนไทยในต่างประเทศ กลับห่วงใยและสับสนในท่าทีของ รมว.ต่างประเทศมากกว่าว่าเป็นทนายของอดีตนายกฯ หรือ รมว.ต่างประเทศ