“ยามเฝ้าแผ่นดิน”ชี้ย้ายฟ้าผ่าอธิบดีดีเอสไอ จุดชนวนลุกฮือของภาคประชาชน เหตุรัฐบาล “หมัก1”ส่อแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ช่วยเหลือพวกพ้อง จี้ “ปลัดจรัญ”แสดงจุดยืนคัดค้าน ปกป้อง ขรก.ไม่ให้การเมืองรังแก เผย “สพรั่ง”ยังแจงไม่เคลียร์ หลังให้สัมภาษณ์ชื่นชม “ทักษิณ” งง “กกต.สมชัย”ส่อแววอุ้ม “ท่านยุทธ”แถมตีลูกเซ่อไม่รู้ “นอมินี”ผิดอย่างไร
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม ลงนามคำสั่งย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสืบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มาช่วยราชการในตำแหน่งรักษาการอธิบดีดีเอสไอ
โดยผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ที่ผ่านมานายสุนัย ได้ทำหน้าที่มาด้วยความสง่างาม และดีที่สุดเท่าที่เคยมีอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมา อีกทั้งยังมีบทบาทในการดูแลคดีสำคัญหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่การสั่งย้ายครั้งนี้ถือว่าเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน กะทันหัน หรือย้ายฟ้าผ่า แล้วดึงเอาคนที่มีความสนิทสนมกับอดีตรัฐบาลชุดเก่ามาทำงานแทน
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า การย้ายอธิบดีดีเอสไอครั้งนี้ จะเป็นชนวนเริ่มต้นที่ชัดเจนที่สุดของการต่อสู้ของภาคประชาชน เพราะมีความล่อแหลมเป็นอย่างยิ่ง ถ้ากระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง ประชาชนจะเกิดสงสัยต่อกระวบการตรวจสอบทั้งหมด ถ้ากระบวนการถูกกีดกัน บิดเบือน เพื่อช่วยเหลือนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง ความเป็นธรรมจะไม่มีวันเกิดขึ้น ยกเว้นประชาชนจะรวมตัวกันลุกขึ้นสู้ ทั้งนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่เคยบอกว่าจะเคลื่อนไหว แต่ได้เตือนไว้แล้วว่าอย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
สำหรับ พ.ต.อ.ทวี นั้น ถูกมองว่ามีความใกล้ชิดกับแกนนำรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ขึ้นมาในครั้งนี้ แล้วไปเกี่ยวข้องกับคดีสำคัญๆ ที่ค้างคาอยู่ โดยมีทีมพนักงานสอบสวนใต้บังคับบัญชา เป็นอดีตหน้าห้องของนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา แล้วก็เป็น ทั้งทีมงานของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และที่สำคัญๆ มีข้อครหาและข้อสงสัยว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นผู้รับผิดชอบคดีสำคัญของผู้ที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลทักษิณหลายคดี จึงถูกย้ายจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ สลับกับนายภิญโญ ทองชัย รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ขณะที่ พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ทำเรื่องขอโอนกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ดังนั้นเมื่อ นายสมพงษ์ ซึ่งเป็นพี่ชายของ พล.ต.อ.สมบัติ เข้ามารับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม จึงมีข่าวออกมาโดยตลอดว่า พ.ต.อ.ทวี จะถูกย้ายกลับมาดีเอสไอ และอยู่ในข่ายจะก้าวหน้าเป็นระดับ 10 โดยภายหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น ก็มีคำสั่งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงเกิดขึ้นทันที
“ตรงนี้เท่ากับเป็นจุดเริ่มต้นว่า รัฐบาลชุดนี้กำลังถูกตั้งข้อสงสัยว่า เริ่มกระบวนการเช็กบิล ข้อที่หนึ่ง สอง ได้กระทำการไม่ได้ทำเพื่อคน 63 ล้านคนแล้วหรือไม่ จะกระทำเพียงเพราะเกี่ยวข้องกับรัฐบาลคุณทักษิณเท่านั้นโดยไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของสื่อ หรือเข้าไปแทรกทั้งหมด”
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ในบรรยากาศตอนนี้ เราควรจะพึ่งใคร อันดับแรกเลย ข้าราชการที่เป็นระดับผู้ใหญ่กว่าอธิบดี ก็ต้องมีหน้าที่ในการต่อสู้ นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นความหวังของประชาชนจำนวนมาก ต้องออกมายับยั้งคำสั่งมิชอบดังกล่าว หากไม่เห็นด้วย ถึงแม้ท่านจะทำงานภายใต้กรอบของ ร.ม.ว.ยุติธรรม แต่เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับคดีของนักการเมือง ปลัดกระทรวงยุติธรรม ต้องยืนยัน และแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย
“ท่าน อ.จรัญ ภักดีธนากุล เป็นความหวังของคนจำนวนมากว่าจะธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม จะปกป้องข้าราชการที่ทำงานดี ที่ทำอย่างตรงไปตรงมา ในยามที่นักการเมืองกลั่นแกล้ง ก็พร้อมจะออกมาต่อสู้”
**“สพรั่ง”แจงไม่เคลียร์จุดยืนต่อ “แม้ว”
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณามิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเลขาธิการ คมช.ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจว่า ทำให้ประชาชนจำนวนมากสงสัยต่อจุดยืนของพล.อ.สพรั่ง ที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ พล.อ.สพรั่งได้มีส่วนร่วมในการยึดอำนาจ
โดยเฉพาะคำถามสุดท้าย ที่ถามว่า รู้สึกอย่างไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น พล.อ.สพรั่ง ได้ตอบว่า “จริงๆ แล้วเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ตอนที่ผมเป็นแม่ทัพภาค 3 ก็ได้รับเกียรติจาก พ.ต.ท.ทักษิณ มากพอสมควร ถือว่าดีที่สุดในยุคที่การเมืองเข้มแข็งขนาดนั้น ก็ต้องให้เครดิตกับอดีตนายกฯ ส่วนจุดหักเหของความขัดแย้งก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้เกิดที่ตัวบุคคล แต่เกิดจากความไม่สบายใจ และสิ่งแวดล้อมคนใกล้ตัวพาดพิงถึงเบื้องสูง ไม่ได้เกี่ยวกับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า จากท่าทีของ พล.อ.สพรั่งดังกล่าว ทางรายการ NEWS HOUR ของ เอเสทีวี จึงได้สัมภาษณ์ พล.อ.สพรั่งเพื่อขอความชัดเจนอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าหลายคำถามนั้น พล.อ.สพรั่งไม่ได้ตอบให้ตรงประเด็น ทั้งๆ ที่น่าจะตอบให้ชัดเจนมากกว่านี้ คงเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องตัดสินเองว่า พล.อ.สพรั่งเป็นอย่างไร และสามารถฟังบทสัมภาษณ์ พล.อ.สพรั่งแบบเต็มๆ ได้ในเว็บไซต์ผู้จัดการ และทางรายการ NEWS HOUR ที่จะนำมาเปิดซ้ำอีกครั้งในเวลาตี 1 ของวันที่ 23 ก.พ. (คลิก!ชม พล.อ.สพรั่ง ให้สัมภาษณ์ ASTV(56K) / (256K))
** เตือน“เลขาฯ วัน”รับสภาพสังคมกดดัน
ต่อมาผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการเข้าทำงานวันแรกในฐานะเลขาณุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ของนายวัน อยู่บำรุง บุตรชายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ว่า การเข้าทำงานวันแรกของนายวัน ทำให้มีการนำไปเปรียบเทียบกับกรณีที่นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม บุตรชายของนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ลาออกจากการเป็นผู้ช่วยเลขาณุการ รมช.มหาดไทย
ทั้งนี้ เพราะนายชนม์สวัสดิ์ ได้ให้เหตุผลการลาออกด้วยการพูดถึงความรู้สึกของประชาชนที่ยังไม่ยอมรับ เขาจึงตัดสินใจไม่รับตำแหน่ง ซึ่งแสดงว่านายชนม์สวัสดิ์ยังให้ความสำคัญกับความรู้สึกของสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับนายวัน อยู่บำรุง ที่ ร.ต.อ.เฉลิม พยายามปกป้อง และอ้างว่ากรณีของนายวันต่างจากนายชนม์สวัสด์ เพราะนายวันไม่มีคดีติดตัว
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า แม้นายวันจะไม่มีคดีติดตัว และเมื่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ก็ดูเป็นคนสุภาพเรียบร้อย มีสัมมาคารวะ แต่เรื่องสำคัญคือ กระแสและความรู้สึกของสังคมที่ยังรู้สึกว่านายวันมีปัญหา การทำผิดในอดีตที่ผ่านมา นาววันได้สำนึกหรือยัง การที่ถูกให้ออกจากการเป็นตำรวจ แล้วมาทำหน้าที่เลขาณุการรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นลูกชายของ ร.ต.อ.เฉลิม ทำให้สังคมมองว่าเหมาะหรือไม่
ทั้งนี้ ในเมื่อนายวันตัดสินใจว่าจะฝืนกระแส นายวันต้องยอมรับว่า มันเป็นต้นทุนที่มีราคาที่ต้องจ่าย นั่นคือความรู้สึกของสังคม ที่ยังสงสัยว่า นักการเมืองเข้าใจความรู้สึกของสังคมหรือไม่ ความรู้สึกนี้จะแรงขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่ของนายวันนับจากนี้ไป ซึ่งกระแสสังคมจะจับจ้องเป็นกรณีพิเศษ กลายเป็นเลขาณุการรัฐมนตรีที่ประชาชนจับตามากที่สุด
ผู้ดำเนินรายการกล่าวอีกว่า แม้นายวันจะให้สัมภาษณ์กราบขออภัยต่อประชาชนสำหรับควงามผิดพลาดที่ผ่านมา และขอโอกาสทำงานรับใช้บ้านเมือง รับใช้สังคม ซึ่งก็น่าประทับใจ แต่จะทำได้จริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวนายวันเอง ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็น โดยเขาจะต้องเข้าใจว่าสังคมยังไม่ต้อนรับเท่าที่ควร และจะต้องกล้ำกลืนกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำมา
**เย้ยกลับ “ไฮ-ทักษิณ”ใครเสี้ยมจน พปช.แตก
ต่อมานายปานเทพได้กล่าวถึงกรณีที่เว็บไซต์ไฮ-ทักษิณ นำเสนอบทความเขียนโดย “นายประดาบ” พูดถึง “สื่อเสี้ยม”ที่จะทำให้เผด็จการกลับมา โดยมีเนื้อความเกี่ยวกับการอภิปรายในสภาของนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ และพาดพิงนายปานเทพว่า ระวังจะโดนข้อหาหมิ่นศาล กรณีที่ไปวิพากษ์วิจารณ์นายจักรภพ ที่เอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องหมิ่นประมาทนายสนธิ ลิ้มทองกุล ไปอ่านเพื่อโจมตีนายสนธิและเครือผู้จัดการในสภา
นายปานเทพกล่าวว่า ต้องขอขอบคุณที่เว็บไซต์ไฮทักษิณเขียนถึง แสดงว่ายังดูรายการที่ตนจัดอยู่ แต่เกรงว่าสิ่งที่นายประดาบเขียนถึงนั้นจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด ที่บอกว่าตนจะโดนข้อหาหมื่นศาลกรณีวิพากษ์วิจารณ์นายจักรภพเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปไปอ่านในสภา ซึ่งคำขู่นี้ตนรู้สึกเฉยๆ
“ที่ว่าพวกเราเป็นสื่อเสี้ยมนั้น มันไม่เกี่ยวกันหรอก ถ้าผมสามารถเสี้ยมให้พวกเขาชนกันได้ แสดงดว่าคนในพรรคพลังประชาชนก็โง่เต็มที ผมยืนยันว่าไม่เสี้ยม แต่เป็นการวิเคราะห์บนพื้นฐานการเปลี่ยนไปในเกมของอำนาจ ที่คุณสมัครไม่อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาแทน เมื่อตัวเองได้เป็นนายกฯแล้ว
“พวกเราเสี้ยมหรือ วันที่คุณวัน อยู่บำรุง ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาฯ รัฐมนตรี เว็บไฮทักษิณทำอะไร เขาให้พวงหรีดดำ แล้วมีข้อความว่า “ขอไว้อาลัยต่อชัยชนะของภาคประชาชน” ก็ใครหล่ะ ที่ทำให้เป็นอย่างนี้ มันเป็นเพราะว่าในพรรคพลังประชาชนแตกกันเอง เป็นเสี่ยงๆ จึงได้เป็นอย่างนี้ แล้วใครเสี้ยมกันแน่”นายปานเทพกล่าว
**งง “สมชัย”ส่ออุ้มท่าน “ยุทธ” – ไม่รู้ “นอมินี”ผิดยังไง
ต่อมาผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการให้ความเห็นของ กกต.บางคน ซึ่งเมื่อฟังแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนๆ นี้จะมาเป็น กกต.ได้ นั่นคือนายสมชัย จึงประเสริฐ ซึ่งได้ให้ความเห็นใน 2 เรื่อง คือ 1.กรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีให้พรรคไทยรักไทย ซึ่ง กกต.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวน โดยมีนายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธานฯ ซึ่งนายสมชัยให้สัมภาษณ์ว่า กกต.ยังไม่ได้ประชุมเรื่องนี้ และเมื่อเปิดกฎหมายดูแล้ว เปิดเท่าไหร่ก็ไม่มีคำว่านอมินี และเฉไฉไปพูดถึงเรื่องกฎหมายของเรา เขียนห้ามไม่ให้ชาวต่างชาติมาช่วยหาเสียง หรือเอาทุนจากต่างชาติมาใช้หาเสียง แต่เราไม่ได้ห้ามคนไทย
นอกจากนั้น ยังบอกว่า สมัยก่อนการที่เราจะไปได้อำนาจอธิปไตยอีกบ้านหนึ่ง จะต้องขี่ช้างขี่ม้า ไปรบ ไปยึดเอามา แต่เมื่อเราต้องการปกครองในระบบประชาธิปไตย เราต้องการให้อำนาจ ทั้งหมดอยู่กับประชาชนด้วยวิถีทางของการเลือกตั้ง ซึ่งนายสมชัยควรจะเติมเข้าไปด้วยว่าต้องเป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม
เรื่องที่ 2. นายสมชัย ได้ให้ความเห็นต่อคดีทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่า ที่มาของสำนวนการสอบสวนชุดสันติบาลดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง จึงตั้งคณะอนุกรรมการชุดใหม่ที่มีนายสุวิทย์ ธีระพงษ์ เป็นประธานขึ้นมาสอบ แต่การสอบสวนก็ไม่ต่างจากสำนวนของสันติบาล ไม่มีอะไรใหม่ เรื่องซีดีที่เป็นหลักฐานก็ไม่มีอะไร แต่ไปพูดกันใหญ่โต ส่วนที่คณะอนุกรรมการสอบสวนสรุปมาก็ไม่สำคัญอะไร สรุปมั่วๆ ก็มี
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายสมชัย เป็น กกต.ที่สังคมมีความรู้สึกแย่มาก บรรทัดฐานของเขาไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นกกต.ได้ ทำไมเขาจึงเอาเรื่องที่ กกต.ชุดใหญ่ยังไม่สรุป มาให้ความเห็นในที่สาธารณะ เป็นการกดดันให้สังคมเชื่อไปก่อน ซึ่งไม่มีสิทธิ กกต.คนอื่นๆ ก็ยังไม่ได้พูดอะไร ขณะที่ เลขาธิการ กกต.เอง ก็ยังบอกว่ายังไม่เห็นผลสอบสวนคดีนอมินี คาดว่าอยู่ในขั้นตอนสอบสวน และจะพิจารณาให้เสร็จโดยเร็ว
นอกจากนี้ นายสมชัย ยังพูดถึงนายยงยุทธว่า คนนี้เมื่อก่อนอาจจะเป็นคนไม่ค่อยดี สีเทา บัดนี้เขาจะทำความดีเสียหน่อย เราจะไม่ให้โอกาสเขาหรือ ถ้าเขาทำความดี เขาอาจจะทำได้ดีกว่าคนอื่นก็ได้ เพราะเขารู้ว่า ความชั่วเป็นอย่างไร และเขาจะไม่ทำอีก บางคนไม่เคยทำความชั่วไม่รู้ แยกไม่ถูก ก็ใช่ว่าจะดีกว่าเสมอไป คดีนายยงยุทธ หากพิจารณาแล้วไม่มีเหตุสำคัญถึงขนาดจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เราก็สามารถสั่งให้ยุติเรื่องก็ได้ อย่าเอาภาพมัวๆ ของเขาผูกกับกฎหมายแล้วไปตัดสินเขา
“นี่ตกลง คุณสมชัยเป็น กกต.ทั้ง 5 คนแล้วหรอ มันตลกครับ บ้านเมืองตอนนี้มันเปลี่ยนไปมากในช่วงระยะเวลาไม่กี่วันเต็มไปด้วยนักการเมืองที่อหังการเหมือนเดิม ที่ไม่สนใจว่า กระบวนการยุติธรรมจะถูกแทรกแซง และประชาชนจะรู้สึกอย่างไร คัดสรรบุคคลที่ไม่ต้องสนใจว่าประชาชนจะรู้สึกอย่างไรบ้าง แล้วจะพูดจะจา ทำอะไรก็ได้โดยที่สังคมไม่รู้จะไปหาใคร บางทีมันดูหมดหวังใช่ไหม”ผู้ดำเนินรายการกล่าว