“ไชยวัฒน์” จับตารัฐบาลใหม่จะมีขบวนการถอนทุนคืนมโหฬาร

อดีตผู้สมัคร ปชป.ยืนยันจะเดินหน้าตรวจสอบพรรคพลังแม้วต่อเนื่อง โดยไม่เกี่ยวข้องกับพรรค ปชป. เชื่อหลังจัดรัฐบาล “หมัก” นั่งนายกฯ แล้วเสร็จจะมีขบวนการถอนทุนอย่างมหาศาล

วันนี้ (20 ม.ค.) นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการดำเนินการในการตรวจสอบพรรคพลังประชาชน หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งยกคำร้องว่า หลังจากที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไปแล้วได้มีประชาชนจากทั่วประเทศต่อสายเพื่อให้ตนดำเนินภารกิจดังกล่าวต่อไปเพื่อให้ได้ข้อยุติสุดท้าย ซึ่งในวันที่ 21 ม.ค.นี้ ตนเตรียมหารือกับคณะทนายว่ามีสิทธิที่จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ทั้งนี้จะมีการแถลงให้ทราบอย่างเป็นทางการอย่างช้าปลายสัปดาห์หน้า

ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเสนอแนะของนายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคให้ไปยื่นคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้งซ้ำอีกครั้ง นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า หากมีช่องทางที่จะทำให้ตนสามารถดำเนินการต่อไปอย่างถูกต้องก็พร้อมที่จะทำ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการต่อไปของตนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป เพราะตนได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อย่างเป็นทางการแล้ว

เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจจะทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นการสร้างความวุ่นวายไม่รู้จบ แม้ว่าสถานการณ์การเมืองจะนิ่งแล้ว นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ไม่ได้สร้างความวุ่นวายหรือปั่นป่วนอะไรทั้งสิ้น และการที่ตนเคลื่อนไหวดำเนินการต่อนั้นเป็นการสร้างความกระจ่างในภาวะที่ขุ่นมัว ก่อนที่จะให้รัฐบาลที่มีผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่สุจริตขึ้นมาบริหารถึง 4 ปี

เมื่อถามว่าจะกลับมาร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ได้อีกหรือไม่ นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า “เป็นชาวพุทธ ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ วันหนึ่งเป็นสมาชิกแล้วลาออกไป อีกวันหนึ่งก็อาจจะกลับมาเป็นสมาชิกได้ใหม่” ถามย้ำว่าหากเร็วๆ นี้ได้รับการติดต่อจากพรรคก็พร้อมที่จะเข้ามาร่วมงานกันอีก นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ยังเร็วไปที่จะพูดถึง

นายไชยวัฒน์ยังได้ระบุถึงการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำว่า ตนไม่เชื่อว่าผู้ปกครองที่ครองเสียงข้างมากในสภาซึ่งได้เสียงมาจากการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตจะทำให้การปกครองเป็นไปตามครรลองคลองธรรมได้ ตนไม่สบายใจ และตนในฐานะที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเชื่อว่าหลังจากที่ตั้งรัฐบาลอาจจะมีการถอนทุนคืนจากคนที่มีอำนาจในรัฐบาลเป็นมูลค่าอย่างมหาศาล โดยอาจส่งผลกระทบไปยังกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจได้