“บรรหาร” ควง “สุวิทย์” แถลงหน้าชื่นร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน อ้างหากจับขั้ว ปชป.ไม่มีทางตั้งรัฐบาลได้ พร้อมยืนยันแกนนำ พปช.ยอมรับเงื่อนไข 5 ข้อแล้ว ขณะเข้าเยี่ยมที่ รพ.รามาฯ
วันนี้ ( 17 ม.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ที่ผ่านมา ที่โรงแรมปาร์คนายเลิศ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย และนายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ร่วมกันแถลงข่าว ประกาศจุดยืนในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนอย่างเป็นทางการ
โดยนายบรรหาร กล่าวว่า ตนเป็นใบ้มาสองอาทิตย์ เพราะว่าสื่อมวลชนพยายามที่จะสอบถามเรื่องการเมืองในระหว่างพรรคชาติไทยกับพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่ตนบอกว่าขอให้รอครบ 15 วันก่อนในการไว้ทุกข์ แล้วก็จะมีสัมภาษณ์กับบุคคลทั้งหลาย ส่วนความอึมครึมในการร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนนั้น ค่ำวันนี้ ความอึมครึมจะหายไปสิ้น ก่อนอื่นอยากเรียนเรื่องเดิมก่อนว่า ทำไมพรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้จับมือในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้วยกัน เพราะเราสองพรรคหวังเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าหากจำนวนตัวเลขผู้แทนราษฎรทั้งสองพรรคได้มามาก ก็อาจจะมีแนวอาจแนวทางหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวทางที่สามให้ประชาชนได้เลือก
“แต่หลังจากวันที่ 23 ธ.ค. ผลของการลงคะแนนพรรคชาติไทยได้ 37 ที่นั่ง พรรคเพื่อแผ่นดินได้ 24 ที่นั่ง รวมเป็น 61 ที่นั่ง ตรงนี้เราได้ประชุมเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ซึ่งมาใครครวญดูว่าเราจะทำอย่างไร สมมติเราดูตัวเลขแล้วพรรคประชาธิปัตย์ได้ 165 เสียงกับพรรคพลังประชาชนได้ 233 เสียง บังเอิญในขณะนั้น พปช.ได้รวบรวม 3 พรรคเล็ก คือ พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา มัชฌิมาประชาธิปไตย และประชาราช ซึ่งสื่อมวลชนทราบดีอยู่แล้วว่าได้ถึง 254 เสียง ถ้าหากของเราเองคือชาติไทย และเพื่อแผ่นดิน ถ้าจะไปรวมกันก็จะมีตัวเลขเพียง 225 เสียง”นายบรรหาร กล่าว
หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวอีกว่า อยากกราบเรียนว่า ก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เราเองพรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดินนัดทานข้าวกันมาโดยตลอด สดับตับฟังเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 24 25 26 27 และวันสุดท้ายคือ ที่บ้านริมน้ำของนายสุชาติ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเย็นวันที่ตนเข้าโรงพยาบาลก็คือคืนวันที่ 26 ธ.ค. ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นทานเลี้ยงบ้าน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ก็มีแนวทางเสนอขึ้นมาว่า ถ้าหากเราจะปล่อยให้ทั้งสองพรรคไปดำเนินการในการจัดตั้งรัฐบาล ดูแล้วพรรคประชาธิปัตย์คงจัดตั้งไม่ได้ ซึ่งพรรคพลังประชาชนอาจจะจัดได้คือ 254 เสียง แต่มีปัญหา
“เพราะถ้าหาก พปช.ตั้งผู้แทนราษฎรไปเป็นรัฐมนตรีสัก 20 เสียง ซึ่งไม่สามารถใช้เสียงโหวตในสภาได้ ซึ่งคิดว่าอันตราย เพราะเสียงเกือบ20 เสียง อาจจะทำให้คะแนนในการโหวตไม่พอ แล้วรัฐบาลจะไม่เกิดความมั่นคง อันนี้เป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเราคิดว่าทางที่ดีที่สุด คือ ควรเข้าร่วม ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นการหารือกันภายใน เพื่อเข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนที่ดูจะเหมาะสมกว่า”นายบรรหาร กล่าว
ส่วนจะเป็นไปตามที่ประชาชนได้เรียกร้องหรือไม่นั้น นายบรรหาร กล่าวว่า หมายความถึงว่าพรรคไหนได้เสียงข้างมาก ก็ต้องให้โอกาสพรรคนั้นจัดรัฐบาลก่อน ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็คุยกันอีกโดยมีการเสนอแนะว่า เราจะหาทางออกได้อย่างไร ก็คิดขึ้นมาได้ 5 ข้อ คือ 1.เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.ไม่แตะต้องท่านประธานองคมนตรี 3.ห้ามล้างแค้น 4. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องมาเข้ากระบวนการยุติธรรม และ 5.ห้ามแตะต้อง คตส. ถ้ามีการยอมรับตรงนี้
“เสียงส่วนใหญ่ของพรรคได้คุยกันก่อนวันที่ 28 ธ.ค. พอถึงวันที่ 28 ธ.ค. ผมบังเอิญไม่สบายอย่างมาก ความดันขึ้นสูง จึงไปเข้าโรงพยาบาลรามาธิบดี ตอน 20.30 น. ตัวแทนพลังประชาชนเกือบสิบคนภายใต้การนำของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ และอีกหลายคนมาเยี่ยมไข้ผมที่โรงพยาบาล แล้วบอกกับผมที่นอนอยู่บนเตียง แต่ไม่ได้พะงาบนะ กำลังให้น้ำเกลืออยู่ ว่า อยากขอให้พรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดินเข้าร่วมการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อก่อให้เกิดความมั่นคง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความน่าเชื่อถือของคนในชาติ และนักธุรกิจ รวมทั้งชาวต่างประเทศจะกลับคืนมา”หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าว
นายบรรหาร กล่าวต่อว่า ตนก็ถามนายสมชาย ว่า แล้ว 5 ข้อที่ประกาศไป ยอมรับได้หรือไม่ ซึ่งในฐานะที่นายสมชาย เป็นตัวแทนของพลังประชาชน บอกยอมรับได้ ซึ่งตนก็ไม่ขัดข้อง จากนั้นได้บอกกับนายสมชาย ว่า ต้องรีบไปพรรคเพื่อแผ่นดิน เพื่อไปพบกับนายวัฒนา อัศวเหม และอีกหลายคนที่เป็นแกนนำ โดยนำความปรารถนาดีอันนี้ไปบอก และเชิญเข้าร่วมรัฐบาล จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นเวลา 11.00 น. คณะเดียวกันของพลังประชาชนที่มาหาตน ก็ไปที่บ้านนายวัฒนา โดยนำความปรารถนาดีอันนี้ไปบอกผู้นำพรรคเพื่อแผ่นดินทุกคน ซึ่งตนทราบเป็นการภายในว่า ในการไปพบกันวันที่ 29 ธ.ค.นั้น แนวโน้มไม่มีอะไรน่าขัดข้อง เพียงแต่รอว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อใด
“เราสองพรรคก็กำหนดว่าจะประกาศวันที่ 2 ม.ค.2551 แต่ก็ปรากฏว่าสมเด็จพระนี่นางฯ สิ้นพระชนม์ ทำให้ไม่สามารถประกาศอะไรได้ และรัฐบาลประกาศไว้ทุกข์ 15 วัน รวมทั้งทาง กกต.ก็ประกาศว่าจะไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งของผู้สมัครพรรคพลังประชาชน 65 คน ชาติไทย 4 คน เพื่อแผ่นดิน 6 คน ประชาธิปัตย์ 6 คน ซึ่งตอนนั้นก็ขอดูว่าช่วง 15 วัน พรรคไหนได้ใบเหลืองใบแดงมากน้อยแค่ไหน แต่ผมมาคำนวณดูแล้ว ถึงแม้จะได้ ส.ส.มากน้อยแค่ไหน ตัวเลขการผันแปรที่จะได้ ส.ส.ต่ำกว่า 315 คน คงจะยาก”
หัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวอีกว่า วันนี้ก็เป็นจริงอย่างที่คาดคะเนไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ประกาศไม่ได้ มาถึงวันที่ 7 ม.ค. ตนก็ถูกหลายฝ่ายรุมล้อมว่าน่าจะประกาศจุดยืน ตนก็ประกาศแบบเป็นเรื่องส่วนตัวโดยพฤตินัยไม่ใช่นิตินัย ว่า พรรคชาติไทยตอบรับ ยินดีเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพลังประชาชน แต่จะต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการ เพราะเราให้สัญญากับเพื่อแผ่นดินว่าจะประกาศพร้อมกันหมด เราไปไหนก็ไปด้วยกัน เป็นรัฐบาลก็เป็นรัฐบาล เป็นฝ่ายค้านก็เป็นฝ่ายค้าน หลังวันที่ 7 ม.ค.เราจึงนิ่ง นี่คือความเป็นไป ซึ่งการที่ไม่ได้พูดอะไรเลยก็ดีไปอย่าง ไม่รำคาญใจ
“มาวันนี้เราสองพรรคอยากจะบอกประชาชน ว่า เราคงจะให้ประเทศไทยเกิดสุญญากาศทางการเมืองไม่ได้เด็ดขาด เราต้องมีรัฐบาล มีคณะรัฐมนตรีมาบริหารประเทศชาติให้ เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ถ้าทำได้อย่างนี้ ขอเรียนว่าผลดีจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนต่อประเทศชาติ ดังนั้นจึงขอประกาศอย่างเป็นทางการต่อหน้าสื่อมวลชน และประชาชนทั่วประเทศว่า พรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดิน 61 เสียง ยินดีเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน”นายบรรหาร กล่าว
ด้าน นายสุวิทย์ กล่าวเสริมว่า ขอย้ำว่าสิ่งที่หัวหน้าพรรคชาติไทยแถลงไปนั้น ได้มีการหารือกันในการร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยหลังการไว้อาลัยสมเด็จพระพี่นางฯ 15 วัน พรรคเพื่อแผ่นดินได้มีการปรึกษาหารือกันหลังจากพลังประชาชนได้มาเชิญพรรคเพื่อแผ่นดินตั้งรัฐบาล ซึ่งผู้บริหารพรรคได้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม เพื่อที่จะหารือกัน ซึ่งกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. มอบอำนาจให้ตน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก และนายวัฒนา เป็นตัวแทนในการตัดสินใจ
“ระหว่างนั้น เรามีการพูดคุย และตั้งใจที่จะแถลงข่าวกับพรรคชาติไทย ซึ่งมีการปรึกษาหารือกันในพรรคตลอด และในที่สุดก็นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมกรรมการบริหาร และ ส.ส.ของพรรค เพื่อให้ที่ประชุมตัดสินใจร่วมกัน ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ในการร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน โดยเห็นว่าปัญหาสุญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้น สร้างผลกระทบ ทำให้เกิดความไม่แน่นอน เพราะมีการปล่อยข่าวลือ ทำให้เกิดความวุ่นวาย และที่สำคัญเรายึดมั่นเจตนารมณ์ในการตั้งพรรคว่า จะเน้นทำให้ปัญหาการเมือง ความแตกแยก ความวุ่นวายต่างๆ ยุติลง เพื่อให้การเมืองเดินหน้า และมีเสถียรภาพ สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้”นายสุวิทย์ กล่าว