ม็อบยังปักหลักขวาง สนช.พิจารณากฎหมายต่อเนื่อง ท่ามกลางการตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจนับร้อยนายทั่วอาคารรัฐสภาอย่างเข้มงวด ขณะที่ “มีชัย” ยันเดินหน้าประชุมต่อเนื่อง แต่ไม่เลื่อนนำบางฉบับขึ้นมาพิจารณาก่อน
วันนี้ (20 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมคัดค้านการพิจารณากฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่หน้ารัฐสภา ถ.อู่ทอง ว่ายังคงมีการตรึงกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจนครบาลมากกว่า 5 แห่ง เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล อีก 150 นายรักษาการภายในรัฐสภา ขณะที่แกนนำผู้ชุมนุมเริ่มทยอยมาเคลื่อนไหวคัดค้าน ตั้งแต่เช้าประกาศที่จะชุมนุมต่อ และจะเฝ้าดูการพิจารณากฎหมายสำคัญที่กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านการพิจารณาของ สนช.
สำหรับการประชุม สนช.ในวันนี้เป็นการประชุมต่อจากวานนี้ (19 ธ.ค.) มีวาระการพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่อีก 13 ฉบับ จากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ที่ผ่านการพิจารณาของกรรมาธิการ เริ่มจากร่าง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย และร่าง พ.ร.บ.สำคัญๆ เช่น ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ร่าง พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวิดีทัศน์ ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ร่าง พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติ และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในการแปรรูปรัฐวิสหากิจ
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอาจจะเลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ และร่าง พ.ร.บ.สภาการเกษตรแห่งชาติออกไปก่อน เนื่องจากเป็นร่าง พ.ร.บ.ที่กลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้าน อาจทำให้เกิดความวุ่นวายได้
ด้าน นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ย้ำอีกครั้งว่า การพิจารณากฎหมายเป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายเข้ามาขณะนี้เป็นจำนวนมาก เพราะว่าแล้วเสร็จมาจากกรรมาธิการ แต่ว่าในการพิจารณาก็จะดำเนินไปตามลำดับ ไม่มีการเลื่อน หรือว่านำกฎหมายบางฉบับขึ้นมาพิจารณา เพราะทุกฉบับรัฐบาลบอกว่าเป็นกฎหมายสำคัญ และต้องการให้ สนช.พิจารณาด้วยกันทั้งสิ้น
ขณะที่นายจอน อึ๊งภากรณ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ กป.อพช. ในฐานะแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมหน้าอาคารัฐสภา ยืนยันว่าจะชุมนุมอย่างสันติวิธิ โดยยอมรับว่ากลุ่มผู้ชุมนุมอาจน้อยกว่าเมื่อวาน เพราะว่าบางส่วนติดภารกิจ และเข้าใจว่ากฎหมายสำคัญที่คัดค้าน สนช.จะเลื่อนการพิจารณาเป็นวันพรุ่งนี้ พร้อมกับยอมรับว่า การแสดงพลังคัดค้านของกลุ่มไม่เป็นผล เพราะว่าเมื่อวาน (19 ธ.ค.) ยังผ่านกฎหมายนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบทั้ง 3 ฉบับ จึงขอให้สังคมเป็นผู้พิจารณา