xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ “ดร.พงษ์ระพี บูรณสมภพ” ผู้สมัคร “เพื่อแผ่นดิน” กทม.เขต 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ดร.พงษ์ระพี บูรณสมภพ อดีตนักเรียนทุนภูมิพลและผู้ดูแลประสานงานพัฒนาชุมชนยากจนใน 50 ประเทศทั่วโลก ผ่านองค์การ Food for the Hungry International สวิตเซอร์แลนด์ ตัดสินใจเข้าสู่การเมืองด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เขต 3 กทม.ในสังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้หมายเลข 3 เปิดใจถึงการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้

ทำไมจึงเข้ามาเล่นการเมือง?

ผมอยากตอบแทนคุณแผ่นดิน เพราะตลอดชีวิตผมได้ทุนเรียนดีจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์มาตลอด ตั้งแต่เด็กอยู่วชิราวุธวิทยาลัย ได้ทุนสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ จนจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง รัฐศาสตร์ ต่างประเทศ ธรรมศาสตร์ ก็ได้ทุนภูมิพลมาตลอดนอกจากนั้น ตระกูลผมรับใช้ในหลวงด้วยความภักดีเสมอด้วยเช่นกัน สิ่งนี้อยู่ในสายเลือดของเราทุกคน

นอกจากนั้น ผมยังคิดด้วยว่า ถึงเวลาคนรุ่นใหม่ที่ทำงานภาคสังคมอย่างทุ่มเท จะเข้ามาเปลี่ยนวัฒนธรรมการเมืองไทย ให้เป็นการเมืองที่ยึดอุดมการณ์ ทำงานเพื่อศักดิ์ศรีและคุณค่าของคน แทนการเป็นนักการเมืองอาชีพ

ประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยเตรียมชีวิตทางการเมืองอย่างไรบ้าง?

ผมเห็นว่า นักการเมืองที่ดีควรต้องมาจากภาคสังคมบ้าง เพราะคนทำงานภาคสังคมจะเข้าถึงสภาพความเป็นอยู่และจิตใจของคน และสามารถผลักนโยบายดีๆ เพราะคนส่วนใหญ่ของประเทศยังเข้าไม่ถึงนโยบายรัฐ

ผมคิดว่า ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาช่วงภัยสึนามิ ภาคใต้ ที่ผมได้เป็นผู้ร่วมคิดริเริ่ม จุดประกายความร่วมมืออย่างเป็นระบบ ทั้งในฐานะกรรมการบริหารโครงการ ผู้หาทุนนอกระบบรัฐจากทั้งในและต่างประเทศ และร่วมตรวจสอบดูแลโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิกว่า 200 โครงการ ครอบคลุมผู้ประสบภัย 22 ชุมชน ในจังหวัด พังงา ภูเก็ต ระนอง ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมูลนิธิเอฟเอชไอ ประจำประเทศไทย รวมถึงการเข้าไปมีส่วนจัดการฟื้นฟูสภาพจิตใจ(จิตบำบัด)ของคนในพื้นที่ สิ่งนี้ ทำให้ผมเห็นความลำบากของคนที่เจอมรสุมชีวิตเป็นหมื่นๆ ครอบครัว หลายปีที่ผมลงไปสัมผัสชีวิตพี่น้องคนไทยด้วยกัน ผมเห็นปัญหาจากข้างล่าง ซึ่งผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เตรียมผมรับใช้ชาติได้อย่างดี

นอกจากนั้น ในฐานะผู้บริหารงานพัฒนาสังคมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ในองค์กรที่ดูแลคนยากจนกว่า 50 ประเทศทั่วโลก เคยเป็นผู้จัดการทั่วไปสำนักประธานระหว่างประเทศ องค์การ Food for the Hungry International กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ และครอบคลุมจำนวนผู้ยากไร้ที่ได้รับประโยชน์หลายล้านคนทั่วโลก ทั้งถือว่าได้รับการยอมรับว่ามีการบริหารจัดการ การเงินที่มีประสิทธิภาพที่สุดของโลกองค์กรหนึ่ง ผมอยากนำประสบการณ์มาใช้เป็นประโยชน์ต่องานนโยบาย ต่องานการเมือง การสังคมของประเทศไทยเรา

ประสบการณ์เหล่านี้ จะนำมาปรับใช้กับกรุงเทพฯ อย่างไร?

สภาพชุมชนในกรุงเทพฯ ปัจจุบันก็ไม่ต่างจากชุมชนที่ผมเคยไปดูแลงานทั้งในและต่างประเทศ เราใช้หลักคิดหลักบริหารเดียวกัน โดยเฉพาะในเขตที่ผมลงสมัครเป็นผู้แทนฯ คือ เขตลาดพร้าว วังทองหลาง ห้วยขวาง ดินแดง นั้น หลังจากได้ลงพื้นที่มาพอสมควร ผมมั่นใจว่าเราต้องเริ่มจากการทำงานที่ให้ความสำคัญกับความต้องการและวิสัยทัศน์ของชุมชนก่อนการรักษาหรือหาฐานเสียงของตัวเอง จริงๆ นักการเมืองวันนี้ ต้องเปลี่ยนวิธีคิด วิธีจัดการชุมชนที่เป็นฐานเสียง เขาต้องเข้าใจว่า คนในพื้นที่ที่มีวิสัยทัศน์ เขาฉลาดพอที่จะดูออกว่า เราจริงใจจะช่วยเขา หรือเรามาหาเสียง เราต้องรักคน เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นคนก่อนประโยชน์ส่วนตัว เราจึงสามารถทำหน้าที่ประสาน ร่วมดูแล และเป็นตัวแทนของชุมชนในการผลักดันวิสัยทัศน์พวกเขาให้เป็นจริง ช่วยวางระบบ แล้วเอาประสบการณ์และเครือข่ายเรามาเสริมให้งานเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืนเข้มแข็ง

แนวพัฒนาแบบ “วิสัยทัศน์ชุมชน ที่ชุมชนคิดเอง” เป็นสิ่งที่อยู่ในอุดมการณ์ของผมมาตลอด และตรงกับนโยบายพรรคที่จะทำด้วย เพราะมันยิ่งใหญ่กว่าประชานิยมหรือประชาชนในฐานะปัจเจกบุคคล เพราะความสุขไม่ใช่เรื่องของคนแต่ละคนเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขด้วย

ความเข้าใจงานบริหาร และแนวคิดงานพัฒนาเมือง พัฒนาสังคม ผดุงซึ่งสิทธิ์ของคนโอกาสน้อยในสังคม เช่น คนยากจน เด็ก เยาวชน สตรี คนชรา คนกลุ่มน้อย และคนพิการ ฯ มาจากประสบการณ์การแลกเปลี่ยนความคิดทางการเมือง และ การสังคม จากผู้นำระดับระหว่างประเทศที่ผมรู้จักด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้ ทำให้ผมมั่นใจว่า ผมพร้อมเสนอตัวเข้ามาทำงานภาคการเมือง

ทราบว่า ต้องการผลักดันนโยบายด้านเยาวชนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันความก้าวร้าวในเยาวชน?

ครับ ผมมองว่า การวางทิศทางงานพัฒนาเยาวชนแบบสหวิทยาการ จะเป็นการนำประเทศไปสู่ศักดิ์ศรีของความเป็นมหานครที่เจริญ และน่ายกย่อง เพราะสิ่งที่จะกำหนดชะตาชาติในวันนี้ อยู่ในมือเยาวชนคนไทย นี่เป็นความฝันของผมอีกประการหนึ่ง คือ อยากใช้ประสบการณ์การทำงานมาพัฒนางานด้านเยาวชน ปัญหาที่หนักที่สุดชั่วโมงนี้ คือ คุณภาพเยาวชนไทย ผมพร้อมจะเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่ง ที่ร่วมทำงานร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ในการแก้ปัญหาเยาวชนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปลี่ยนมุมมองจากการเห็นแต่ปัญหาเยาวชน มาสู่การเห็นเยาวชน เป็นทรัพยากรของชาติ (Strength-Based Approach) ที่เราเองต้องไม่สร้างปัญหาขวางพัฒนาการที่เหมาะสมของพวกเขา เพราะพวกเขาคือขุมพลังขับเคลื่อนอนาคตของชาติสู่ความสุขยั่งยืนแท้จริง เยาวชนวันนี้จะเลี้ยงดูพวกเราในวันข้างหน้า การลงทุนกับเขา คือ ความฉลาดของชาติ

จากการดูงานทั้งในและต่างประเทศ ทั้งได้มีโอกาสเยี่ยมชม พูดคุย อาศัยร่วมอยู่กับเยาวชน ศึกษางานสถานพินิจฯ ศึกษางานการป้องกันความก้าวร้าวในเยาวชนแบบองค์รวม การศึกษาโลกทัศน์ของเด็กข้างถนน โสเภณีเด็ก และร่วมถกปัญหากับผู้เชี่ยวชาญที่ประสบความสำเร็จระดับสากล ทำให้ผมสามารถเข้าถึงปัญหา เพราะเรายินดีมองจากมุมของเยาวชน เขาไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่นโยบาย อยู่ที่การร่วมงานของทุกสถาบันที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน อยู่ที่การจัดระบบของรัฐ ไม่ใช่ตัวเยาวชน

พร้อมแค่ไหน กับสนามเลือกตั้งคราวนี้?

ในฐานะคนรุ่นใหม่ที่ขออาสามาทำงานการเมือง ผมหวังเติบโต และพัฒนาตนเองไปสู่บุคคลที่พร้อมช่วยพัฒนาชาติให้ดียิ่งขึ้น ผมพร้อมรับผิดชอบในหน้าที่ที่มอบหมาย อีกทั้งจะมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาเดินหน้าอาสาทำงานการเมืองในแนวสร้างสรรค์ อย่างคนมีอุดมการณ์นำหน้า ไม่ยึดติดกับผลประโยชน์ ผมขออาสา และพร้อมพูดกับทุกท่านในวันนี้ ว่า “ผมเห็นคุณค่าในมนุษย์ทุกคน และพร้อมใส่ใจพัฒนา สร้างความสุขยั่งยืนให้พี่น้องชาวกรุงเทพมหานครและคนไทยทุกท่าน”
กำลังโหลดความคิดเห็น