อดีต กกต.ชี้ไร้ช่องส่งศาล รธน.ตีความอดีต กก.บห.ที่ถูกตัดสิทธิ 111 ยุ่งการเมือง เชื่อเป็นปัญหาบานปลายในอนาคต แนะ กกต.หนักแน่น ออกเป็นประกาศ หรือระเบียบให้ชัด เพื่อเอาผิดหากมีการฝ่าฝืน ด้าน “บรรเจิด” ชี้ยื่นศาลปกครองได้
วันนี้ (18 พ.ย.) นายสวัสดิ์ โชติพานิช อดีต กกต.กล่าวถึงกรณี กกต.มีมติตอบข้อหารือซึ่งบรรดาพรรคการเมืองจะส่งศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความได้หรือไม่ ว่า ตนไม่แน่ใจ แต่เชื่อว่าจะมีปัญหาแน่นอนในอนาคต เพราะการจะส่งศาลรัฐธรรมนูญนั้น ศาลต้องพิจารณาว่าเป็นการหารือหรือไม่ ถ้าเป็นการหารือ ศาลจะไม่วินิจฉัย เพราะตั้งแต่สมัยตนเป็น กกต.อยู่นั้น ก็เคยมีเรื่องหารือส่งศาล รธน.แต่ไม่ได้รับการวินิจฉัย ซึ่งตนเห็นว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แล้วแต่จะคิดกันไป
“มันสนุก สนุกจริงจริ๊ง การเมืองไทย เหมือนอย่างที่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เคยพูดไว้ว่า การเมืองไทยเหมือนกับดูละคร แต่ไม่ใช่ละครน้ำเน่า และผมเห็นว่า เวลานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ถ้า กกต.ยังไม่ออกระเบียบหรือประกาศอะไรออกมา ทุกฝ่ายก็ควรจะยุติ อยากจะทำอะไรก็ได้ตามใจพวกคุณ เพราะเขายังไม่ออกอะไรมา ก็อย่าเพิ่งไปตีโพยตีพาย และอย่าไปยุแหย่ ให้เขาจนมุมต้องออกอะไรออกมา ซึ่งก็มีพรรคการเมืองออกมาบอกแล้วว่า กกต.เองก็ยังไม่แน่ใจในกฎหมายจึงยังไม่กล้าที่จะทำอะไร ได้เพียงแต่ตอบข้อหารือ ซึ่งก็เท่ากับว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น เพราะตัว กกต.เองก็กลัวขัดกฎหมายเหมือนกัน ซึ่งก็เหมือนอย่างที่พรรคพลังประชาชน มองว่า กกต.ไม่แน่จริง” นายสวัสดิ์ กล่าว
นายสวัสดิ์ ยังแนะว่า กกต.ควรจะออกเป็นระเบียบหรือประกาศออกมาให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้มีบทลงโทษ หากผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้สมัคร และพรรคการเมือง มีการกระทำที่ฝ่าฝืน ก็สามารถที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดนั้นๆ ได้ แต่ถ้า กกต.ไม่ออกระเบียบ เป็นเพียงตอบคำหารือที่ออกมา ก็เท่ากับเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ยังไม่มีกฎหมายอะไรที่จะเอาผิดได้
“กกต.ควรจะมีความกล้าในการออกระเบียบ หรือประกาศออกมา ผมเชื่อว่า นายอดิศร เพียงเกษ คงจะยังไม่หยุดและต้องขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครแน่ และถ้าเขาทำขึ้นมาจริงๆ แล้ว กกต.จะเอาผิดด้วยบทลงโทษอะไร เพราะ กกต.ยังไม่ได้มีการออกระเบียบ หรือประกาศเลย เวลานี้เหมือนเป็นการจุดคบเพลิงที่โยนออกไปแล้วทำอะไรไม่ได้ และในที่สุดก็ไม่สามารถให้ใบเหลืองใบแดงใครได้ แต่ถ้า กกต.ออกเป็นระเบียบหรือประกาศให้ชัดเจน หากใครฝ่าฝืน กกต.ก็สามารถให้ใบเหลืองใบแดงได้ เพราะฉะนั้น ผมเห็นว่า ควรจะออกเป็นระเบียบให้ชัดเจน เพื่อให้การทำงานของ กกต.ง่ายขึ้น ถ้าผมเป็น กกต.ผมคงต้องมานั่งนึกเช่นกันว่าจะคิดและทำอย่างไร เพราะไม่มั่นใจว่าออกเป็นระเบียบหรือกฎหมายมาแล้วจะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ก็ได้พูดคุยกับอดีต กกต.อีกคนหนึ่ง ก็เห็นว่า ความจริงมันเป็นปัญหาสังคมซึ่งคนที่เป็น กกต.ควรจะต้องให้เคลียร์ และมีความชัดเจน เพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว ที่พูดว่าไม่ย้อนหลัง แล้วยังไม่ออกประกาศ เราก็จัดการเขาไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายอะไรที่จะไปเอาผิด ตรงนี้มันจึงยากและต่อไปก็จะยุ่ง”
นายบรรเจิด สิงคะเนติ อาจารย์นิติศาสตร์ หนึ่งในกรรมการ คตส.กล่าวว่า เท่าที่ดูตามรัฐธรรมนูญ คิดว่า มาตรา 223 ที่ระบุว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเรื่องที่รัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง น่าจะเป็นช่องทางให้ 111 คนสามารถยื่นเรื่องต่อศาลปกครองขอให้พิจารณาว่า มติ กกต.ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการหาเสียงนั้นชอบหรือไม่
นายบรรเจิด ยังกล่าวอีกว่า มองว่า ประเด็นนี้ไม่สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ เพราะมติ กกต.ที่ออกมานั้นคล้ายคำสั่ง เป็นการอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กกต.และ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญโดยตรงที่จะสามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งวรรค 1 ของมาตรา 223 ก็กำหนดว่าอำนาจศาลปกครองตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น
“เรื่องนี้จะถูกผิดอย่างไรเป็นอีกเรื่อง แต่การที่ กกต.มีมติออกมาผมมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้นทุกอย่างมันก็จะยึกยักกันอยู่ เมื่อตัดสินออกมาแล้วใครจะมองว่าไม่ถูกก็ไปศาลตัดสินกัน อดีต กก.บห.ไทยรักไทย 111 คน คนใดคนหนึ่งยื่นเรื่องเลยก็ได้” นายบรรเจิด กล่าว