ที่ประชุม “สนช.” เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะ โอน “ทีไอทีวี” เป็นโทรทัศน์สาธารณะ ด้วยมติเสียงข้างมาก 99 เสียง พร้อมให้ทบทวนรายได้และสัดส่วนเงินบำรุงอย่างน้อยทุก 10 ปี
วันนี้ (31 ต.ค.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีมติเห็นชอบให้ประกาศร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. ... เป็นกฎหมาย ด้วยคะแนน 134-6 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง โดยร่าง พ.ร.บ.นี้มีเนื้อหาเพื่อจัดตั้งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ทำหน้าที่เป็นองค์การสื่อสาธารณะด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่ใช่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ แต่ดำเนินการภายใต้ทุน ทรัพย์สิน และรายได้ขององค์การ
ก่อนการลงมติ ที่ประชุมได้พิจารณาในวาระที่ 2 โดย นายอรรคพล สรสุชาติ สมาชิก สนช.ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยได้สงวนความเห็น ให้ตัดมาตรา 55 ออกทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า ทีไอทีวียังมีข้อติดขัดทางกฎหมายหลายเรื่อง ไม่ว่าการที่ศาลปกครองสั่งคุ้มครองชั่วคราว เรื่องราวในชั้นอนุญาโตตุลาการ ข้อสัญญาต่างๆ และการตีความเรื่องคลื่นความถี่ที่จะโอน ซึ่งมีข้อพิพาทอยู่หลายคดี และหากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เกิดแพ้คดีอาจจะเป็นปัญหาได้ เพราะต้องหาคลื่นความถี่และอุปกรณ์คืนให้ทีไอทีวี นอกจากนี้ ก่อนที่จะยึดทีไอทีวีมาเป็นของรัฐ ทีไอทีวีก็มีรายได้เดือนละ 100 กว่าล้านบาท รวมแล้วปีละ 1,000 กว่าล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ของรัฐ แต่ถ้ามีมาตรา 55 ออกมาเท่ากับยกเลิกรายได้ดังกล่าวไป และยังต้องนำเงินภาษีประชาชนอีก 2,000 พันล้านบาท ใส่ไปแทน เหตุใดจึงไม่ทิ้งทีไอทีวีให้เป็นหน่วยงานของรัฐต่อไป แล้วควรจะหันมาดำเนินการสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ที่มีอยู่แล้วแทน ซึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
“ผมไม่แน่ใจว่า การออกกฎหมายลักษณะนี้เพื่อเป็นการรองรับกระบวนการการตัดสินใจของรัฐบาลในเรื่องทีไอทีวีให้เสร็จสิ้นให้เห็นว่ามีความเป็นรูปธรรมหรือไม่ โดยใช้ สนช.เป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหารในการแก้ปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ ผมขอยืนยันว่า การแสดงความเห็นในเรื่องนี้เป็นการทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงตามที่กรรมาธิการบางคนไปพูดในช่วงจัดรายการวิทยุ แต่ผมไม่ต้องการให้เป็นการมัดมือชก เปลี่ยนทีไอทีวีเป็นทีวีสาธารณะ ไม่อยากให้ใช้เวลานี้เป็นนาทีทองเพื่อปกป้องคนใดคนหนึ่งหรือผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง” นายอรรคพล กล่าว
ด้าน คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ชี้แจงว่า เริ่มแรกก็มีความคิดจะใช้ช่อง 11 เป็นโทรทัศน์สาธารณะ แต่หลังจากได้ดูเรื่องนี้อย่างเป็นทางการก็พบว่ามีปัญหาหลายอย่างที่ทำให้ทำไม่ได้ เช่น สัดส่วนของรายการในเวลาที่ช่อง 11 มีอยู่ มีภารกิจมาก โดยเฉพาะหนึ่งในสามของเวลาทั้งหมดเป็นเรื่องของการถ่ายทอดสด รายการของมูลนิธิและสถาบันต่างๆ รายการด้านศาสนา ตลอดจนราชพิธีต่างๆ นอกจากนี้ ตามร่าง พ.ร.บ.นี้ เป็นการจัดตั้งองค์การที่เกี่ยวกับทั้งกระจายเสียงวิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ในอนาคต
คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ส่วนเรื่องคดีความที่ศาลปกครองให้ความคุ้มครองทีไอทีวีอยู่นั้น ในมาตรา 55 ได้กำหนดไว้แล้วว่า การโอนทีไอทีวีไปยัง ส.ส.ท.นั้นไม่รวมถึงข้อโต้แย้ง หรือข้อพิพาทบรรดาที่มีอยู่ หรือที่อาจจะมีขึ้นระหว่าง สปน.และบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือบุคคลอื่นใด อันเนื่องจากหรือเพราะเหตุแห่งสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยูเอชเอฟ ระหว่าง สปน.และบริษัท สยามอินโฟเทนเมนท์ จำกัด ฉบับลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2538 ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการในชั้นอนุญาโตตุลาการหรือชั้นศาล แต่ให้องค์การสนับสนุนค่าใช้จ่ายอันเนื่องจากการดำเนินการเกี่ยวกับข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทดังกล่าวแก่ สปน.ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนด
ด้าน คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ กมธ.เสียงข้างมาก และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เคยกำกับดูแลสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) สมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ชี้แจงว่า ครั้งแรกเห็นด้วยที่จะให้ช่อง 11 เป็นโทรทัศน์สาธารณะ แต่หากรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้งในเร็วๆ นี้ ต้องการจะตั้งโทรทัศน์ขึ้นอีกช่องก็จะต้องใช้งบประมาณอีกจำนวนมาก ดังนั้น ในวันนี้ ควรทำช่อง 11 ให้ดีที่สุด ส่วนทีไอทีวี เหมาะสมที่จะเป็นโทรทัศน์สาธารณะ
ที่สุด เมื่อไม่ได้ข้อยุติ ประธานในที่ประชุมจึงขอมติจากที่ประชุม ปรากฏว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามร่างของ กมธ.ให้คงมาตรา 55 ไว้ 106-44 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง ใช้เวลาพิจารณามาตรานี้ประมาณ 2 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบกับข้อเสนอของ คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ สมาชิก สนช.ที่ให้เพิ่มข้อความในมาตรา 49/1 ให้การทบทวนที่มาของรายได้และสัดส่วนเงินบำรุง ส.ส.ท.ต้องมีการดำเนินการอย่างน้อยทุกๆ 10 ปี นอกจากนี้ นายโคทม ยังได้เสนอให้เพิ่มความในมาตรา 10 ให้เงินบำรุง ส.ส.ท.ที่จัดเก็บจากภาษีสุราและยาสูบ ในอัตรา 1.5% ต้องไม่เกิน 85% ของรายได้ของ ส.ส.ท.ในระยะเวลา 10 ปีแรกนับแต่การประกาศใช้ พ.ร.บ.นี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ ส.ส.ท.ทำงานอย่างกระตือรือร้น ไม่ใช่รอเงินอุดหนุนจากรัฐอย่างเดียว แต่ กมธ.ไม่เห็นด้วย นายมีชัย ประธานในที่ประชุมจึงขอมติ ปรากฏว่า ที่ประชุมเห็นด้วยกับร่างของ กมธ.99 เสียง ไม่เห็นด้วย 23 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง