เป็นโชคดีของ อดีตพรรคไทยรักไทย รวมไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้ สมัคร สุนทรเวช มานั่งเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ... แม้สมัครจะมีศัตรูถาวรอยู่มาก แต่ที่สุดแล้วเหล่าคนที่ถูกตราให้เป็นศัตรูถาวรก็ยังทำงานร่วมกันได้ภายใต้สีเสื้อพรรคพลังประชาชน... แม้กระทั่ง วีระ มุสิกพงศ์ ก็ยังสงวนถ้อยคำไม่แสดงอาการปฏิปักษ์ใด ๆ ออกมาเพื่อมิให้องค์กรโดยรวมเสียหาย..มีหนทางเดียวเท่านั้นที่ทำได้คือ วางเฉย ปล่อยให้ จักรภพ-จตุพร-ณัฐวุฒิ เพื่อร่วมเวทีม็อบ (ได้ดี?) ลงสมัครส.ส.กันไปก่อน
สมัคร หาใช้ตะเกียงไร้น้ำมันไม่ ! คนรักเท่าผืนหนัง - ก็ยังดีที่มีคนรักจริง ... เส้นทางสายการเมืองยาวนานของพรรคประชากรไทย ยังได้สร้างเครือข่ายเพื่อนฝูงจำนวนมากอย่างน้อยที่สุดก็มีคนชื่อ นิติภูมิ นวรัตน์ คนหนึ่งล่ะที่อยู่ในบรรดาฐานะผู้สนับสนุนพรรคประชากรไทย ยาวนานเรื่อยมาจนถึงเป็น ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
สนิทสนมกันเพียงไร ? ลูก ๆ ทุกคนของ นิติภูมิ นวรัตน์ นับถือ ลุงสมัคร เป็นเสมือน ไอดอลทางการเมือง เลยทีเดียว...ครั้งเมื่อ นิติภูมิ เนาวรัตน์ ป่วยเข้าโรงพยาบาลเมื่อปี 2547 ก็ปรากฏร่าง สมัคร สุนทรเวช ไปเยี่ยมไข้ถึงที่ ...
อย่าได้ประหลาดใจอันใดเลยที่ นาย เนติภูมิ นวรัตน์ จะลงสมัครส.ส.ในสีเสื้อพรรคพลังประชาชน ที่ลุงสมัคร นั่งเป็นหัวหน้าพรรค ... แต่ที่ควรประหลาดใจกว่า กลับเป็นตัว นิติภูมิ-ผู้พ่อ ซึ่งมีคดีความถูก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องร้องค้างคาอยู่.. เหตุใดจึงมีชื่อเป็นพยานโจทย์ในคดีที่ ทักษิณ ชินวัตร ฟ้องร้องเครือผู้จัดการ ? โดยสถานะเมื่อครั้งขึ้นเวทีพันธมิตร นิติภูมิ คือศัตรูทางการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตร !!? ไม่ต้องอรรถาธิบายเรื่องอื่นใดให้มากความ.. เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน-รู้หน้าไม่รู้ใจ ตามภาษิตว่าไว้จริง ๆ
..................
ถึงตอนนี้ สมัคร สุนทรเวช ยังมีสิทธิ์ที่จะคั่วตำแหน่งประมุขสูงสุดฝ่ายบริหาร แม้จะมีความพยายามสกัดกั้นในหลายรูปแบบ ประเด็นที่น่าจะมาสนทนากันก็คือ วาระแห่งชาติว่าด้วยการปราบปรามการซื้อเสียง-ขายสิทธิ์ ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรีกำลังเดินหน้าเต็มสูบ-ว่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้มากน้อยเพียงใด
พระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งบังคับใช้แล้ว นาทีนี้ไม่ว่าทั้งพรรคการเมือง หรือตัวผู้สมัครที่หาเสียงล่วงหน้าจะเคลื่อนไหวอย่างไรถือว่าอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.โดยสมบูรณ์ ... พูดแบบภาษาชาวบ้าน ทุกคนสามารถโดนใบแดงได้ทุกขณะจิต
ต้องยอมรับว่า มาตรการและกระบวนการป้องปราม-จับผิดการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในยุควาระแห่งชาติ พ.ศ.2550 ต่างจาก กระบวนการทำงานของ กกต. ยุคก่อนหน้าในแทบทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นยุค กกต. น้ำดี หรือ กกต. ห้าห่วง อย่างเช่น ฝ่ายสืบสวนของกกต. ก่อนหน้านี้ มีแค่หลักพัน ส่งไปประจำเขตละประมาณ 3 คน ซึ่งต้องยอมรับว่าทำอะไรไม่ได้ หลักฐานเอาผิดนักการเมืองจริง ๆ มาจากเรื่องร้องเรียนและการจับผิดของคู่แข่ง มากกว่า 90%
แต่สำหรับรอบนี้ เอาแค่บุคลากรฝ่ายสืบสวนหาข่าวนั้น หาใช่มาจาก กกต. เพียงฝ่ายเดียวไม่ ! ยังมีการ สนธิกำลังฝ่ายข่าวที่ทำงานการข่าวลับ จากหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงต่าง ๆ และ ยังมีบุคลากรจากกระทรวงหลัก เช่น มหาดไทย สาธารณสุข ไปถึง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เต็มพื้นที่ ... อานุภาพของงานข่าวอยู่ที่การเตรียมการ-การจัดวาง-บริหารรวมศูนย์-กระชับ-ทันการณ์ ซึ่งมีแต่ฝ่ายความมั่นคงเท่านั้นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุด .. กกต.ในอดีตมีอำนาจขอใช้บุคลากรและทรัพยากรจากกระทรวง-ทบวง-กรมต่าง ๆ เพื่อการเลือกตั้งได้ แต่ยังไม่เคยก้าวล่วงไปถึง การสนธิกำลังในส่วนของหน่วยการข่าวอย่างเป็นระบบ ... ก็มีครั้งนี้แหละที่ (มีความหวัง) จะได้เห็นอานุภาพของงานการข่าวรัฐของจริง !
.......................
การข่าวก็คือการข่าว.... แต่กลยุทธ์การหาเสียงเลือกตั้งมิใช่การลงไปควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อเสียงเพียงอย่างเดียวเสียที่ไหน ! อย่างน้อยที่สุดในพื้นที่เป้าหมาย เหนือตอนบน กับ ภาคอีสานนั้น การระดม แจกซี.ดี. ตีหน้าเศร้าเล่าความทุกข์ ... ทักษิณ ชินวัตร คนเดียวที่คิดถึง !! ได้ทำมาก่อนขอบเขตพระราชกฤษฎีกากำหนด และบทหมูไม่กลัวน้ำร้อนติดป้ายชื่อตนเองแจก...เพราะกฎหมายตัวใหม่นั้น นับรวมการแจกจ่ายสิ่งของที่มูลค่าเหล่านี้ต้องนับเข้าไปในบัญชีค่าใช้จ่าย 1.5 ล้านบาท/คน ด้วย แม้จะทำก่อนพระราชกฤษฎีกาประกาศก็ตาม
กลยุทธ์หาเสียงของ พรรคพลังประชาชนรอบนี้ ทำอย่างระมัดระวัง และต้องยอมรับว่า คม และ โดน พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมาย อย่างแคมเปญโฆษณาที.วี. ที่ได้เห็น ก็คือ การกระชากอารมณ์ในเชิง Emotional หากเป็นอาวุธก็คือการ พุ่งเป้าไปที่ “หัวใจ” ของกลุ่มเป้าหมายผู้รับสารโดยตรง
ชาวบ้านร้านถิ่นในชนบทนั้น เงิน มีค่าก็จริงแต่ หัวใจ ก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน มาตรการของภาครัฐมุ่งไปที่การซื้อสิทธิ์ขายเสียง ที่เพิ่งจะเริ่มในช่วง 3 เดือนสุดท้าย เพราะไปตีโจทย์ว่าสกัดเรื่องนี้ได้เท่ากับการสกัดอำนาจเก่า.... ไม่รู้จะพูดไปทำไม ..มีคำพูดเดียวเท่านั้นคือ “น่าเสียดาย” ...เสียดายเวลาและโอกาสที่สูญไป...ตลอดระยะ 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลและ คมช. ไม่ได้วางกลยุทธ์เพื่อ เอาชนะแนวรบการให้ความรู้ ความเข้าใจ และ อารมณ์ความรู้สึกของประชาชน เลยแม้แต่น้อย...
อย่างเช่นเรื่องล่าสุด การส่อทุจริตและการผลาญงบประมาณใน OKMD ซึ่งเพิ่งจะมีมติครม. ออกมาเมื่อจันทร์ที่ผ่านมา หากเป็นรัฐบาลที่คิดได้ คิดเป็น แค่นำนักข่าวไปดูสถานที่จริง พาไปดูเฟอร์นิเจอร์นำเข้าจากอิตาลี และ ดูบัญชีเงินเดือน 2 แสน 3 แสน/ คน เพื่อจะ ชี้ให้ประชาชนเข้าใจว่า ในยุคทักษิณเขาทำกันถึงขนาดนี้ !!! ... ตัวอย่างเล็ก ๆ แบบนี้แหละคือชุดมาตรการที่มีประสิทธิภาพตรงใจ ตรงเป้า พุ่งตรงไปยังประชาชนเจ้าของประเทศ...ก็ไม่รู้จะมีใครคิดทำกันแค่ไหนอย่างไร !!? ..ทำได้แค่เขียนไปบ่นไปเท่านั้น
จะเป็นไรไป หาก สมัคร สุนทรเวช จะนำพรรคพลังประชาชนกวาดที่นั่งเกินครึ่งของสภาฯ จริง ๆ .. เพราะนี่คือการเลือกตั้งที่เราต้องยอมรับในเมื่อเป็นกติกาที่เลวน้อยที่สุดเท่าที่สังคมประชาธิปไตยจะสร้างขึ้นมาได้
จะเป็นไรไป หาก สมัคร สุนทรเวช จะปัดฝุ่นโครงการที่จอดรถใต้ดินบริเวณท้องสนามหลวง ..และจะเป็นไรไปหากรัฐบาลหน้า จะประกาศให้ใช้โฟมในเทศกาลลอยกระทง ห้ามใช้วัสดุจากใบตองเพราะเก็บยาก..!
ยังไง ๆ ก็ทำใจไว้ก่อนสักนิดหนึ่งเกิดเถิด .. เรามีรัฐบาลจืด ๆ ช้า ๆ เย็น ๆ มาปีหนึ่งแล้ว จะเป็นไรไปหากมีรัฐบาลที่พิลึกพิลั่นแบบชิมไปบ่นไป มาแทนที่ !!