“บิ๊กเหวียง”ยันไม่รวมพรรคกับ“มัชฌิมาฯ-ประชาราช” ชี้ ใกล้เลือกตั้งแล้ว แนะพรรคการเมืองควรนิ่ง หวั่นประชาชนเบื่อ ฮึ่มซ้ำ “บรรณวิทย์” ไม่ใช่สมาชิกพรรค แย้มหลังเลือกตั้งมีสิทธิ์จับขั้ว
วันนี้ (21 ต.ค.)พล.อ. เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กล่าวถึงจุดยืนของพรรคฯว่า พรรคถือว่ามีจุดยืนมั่นคงอยู่แล้ว จากการที่ได้ประกาศจุดยืนของพรรค 4 ประการ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่อยู่ในหัวใจของพวกเราทุกคน การเป็นพรรคการเมืองต้องคิดถึงผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลักไม่คิดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าพรรคไหนมีนโยบายดีหรือทำไว้แล้วดีเราก็จะสานต่อและเราต้องทำให้ดีกว่าแน่นอน ส่วนทุกความเคลื่อนไหวทางการเมืองมักจะมีชื่อพรรครวมใจไทยฯเข้าไปเชื่อมโยง พล.อ.เชษฐากล่าวว่า ไม่ทราบว่าทำไมเป็นอย่างนั้น เช่นเหตุการณ์การรวม 3 พรรคก็ไม่ทราบมาก่อน จนมีข่าวออกมาเลขาธิการพรรคจึงออกไปชี้แจงข้อเท็จจริงซึ่งทุกอย่างก็จบ
เมื่อถามถึงการที่พล.อ. บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหมและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ไปอ้างว่าเป็นตัวแทนของพรรคฯในการรวมพรรค พล.อ.เชษฐา กล่าวว่า ก็ไม่ได้มีการพูดคุยกันมาก่อนทั้งตนและพรรคก็ไม่ทราบเรื่องนี้และทางเลขาธิการก็ได้ออกมาชี้แจงชัดเจนแล้วว่าพล.อ.บรรณวิทย์ไม่ใช่สมาชิกพรรค
เมื่อถามถึงอนาคตของพรรคฯว่าจะมีการยุบรวมกับพรรคอื่นหรือไม่ พล.อ.เชษฐา กล่าวว่า ขณะนี้การเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้วคิดว่าพรรคการเมืองทุกพรรคควรจะนิ่งได้แล้ว ตนเป็นห่วงว่าประชาชนจะเบื่อเสียก่อน ฉะนั้นพรรคเราจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นเป็นอันขาด เราตัดสินใจขนาดนี้แล้วเรื่องของบ้านเมืองเราจะมาโยเยไม่ได้ต้องมีความมั่นคง และขอยืนยันว่านายสุวัจน์ยังทำงานอยู่กับพรรคฯเพราะเป็นคนรักษาคำพูด
เมื่อถามว่าหลังการเลือกตั้งจะมีการจับขั้วกับกลุ่มไหน พล.อ.เชษฐา กล่าวว่าต้องให้ผลการเลือกตั้งออกมาก่อน จากนั้นจึงจะมีการหารือร่วมกันของกรรมการบริหารพรรคฯให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน พรรคใดก็ตามมีแนวคิดตรงกัน มีนโยบายเหมือนกัน พฤติกรรมเหมือนกัน เราคุยกันได้เพื่อความสมานฉันท์ แต่ถ้าแตกต่างกันก็ไม่ได้
ถามต่อว่ายังไม่ได้เลือกข้างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชาชนใช่หรือไม่ พล.อ.เชษฐากล่าวว่า ตนพูดแบบกลางๆ แนวความคิดของเราในสถานการณ์ที่สังคมมีแต่ความแตกแยกพรรคการเมืองยิ่งต้องช่วยกันสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น แต่ถ้าเราไปทำเองก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ส่วนกรณีการเดินทางหาเสียงของพรรครวมใจไทยชาติพัฒนานั้นพล.อ.เชษฐากล่าวว่าขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียง 64 วัน มีจังหวัดที่ต้องไป 76 จังหวัด โดยหลักการต้องไปให้หมด แต่ทั้งนี้ต้องจัดลำดับความสำคัญเสียก่อน เมื่อถามถึงจำนวน ส.ส.ที่คาดหวัง พล.อ.เชษฐากล่าวว่า ขึ้นอยู่กับประชาชนซึ่งคาดการณ์ได้ลำบาก และนอกจากนี้ที่มีการซื้อตัว ส.ส.พล.อ.เชษฐา กล่าวด้วยว่า คงไม่วิตกเพราะเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
ขณะเดียวกัน พล.อ. เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรค นาย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รองหัวหน้าพรรค และประธานร่างนโยบาย นาย ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค นาย อุทัย พิมพ์ใจชน ที่ปรึกษาพรรค และนาย อุตมะ สาวนายน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและคณะทำงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาพรรค ร่วมกันแถลงนโยบายเศรษฐกิจของพรรคภายใต้ชื่อ “นโยบายประชาสมคิด เพื่อชีวิตที่สมหวัง” ซึ่งเป็นนโยบายที่เขียนโดยนายสมคิด เป็นผู้เขียนด้วยตัวเอง และการแถลงครั้งต่อไปจะเป็นนโยบายภายใต้ชื่อ “สุวัจน์จัดให้” ซึ่งจะเป็นนโยบายเกี่ยวกับรถไฟฟ้าล้วนๆ ที่นาย สุวัจน์ ลิปตภัลลภ ที่ปรึกษาพรรค ร่วมเขียนนโยบาย ทั้งนี้ทั้งนายสุวัจน์ และนายสมคิดไม่ได้มาร่วมการแถลงข่าวแต่อย่างใด
โดยก่อนและหลังการแถลงได้มีสมาชิกพรรค ผู้บริหารการกีฬาแห่งประเทศไทยนำนักกีฬาทีมชาติไทยชุดลุยศึกซีเกมส์ประชาชน ชาวเขาเผ่าม้ง มาร่วมมอบกระเช้าดอกไม้และผลิตภัณฑ์ชุมนุมเพื่อให้กำลังใจจนล้นห้องประชุม อาทิ ชาวจังหวัดระยองมอบดอกไม้และเขียนการ์ดข้อความว่า “ชาวระยองรักรวมใจไทยฯ เลือกขุนพล พล.อ.เชษฐา เป็นนายกฯ” ทั้งนี้ก่อนเริ่มแถลงนายอเนกได้เปิดโอกาสให้ช่างภาพได้บันทึกภาพโดยการยกมือขึ้นมาและหุบนิ้วเหลือเพียงนิ้วก้อยนิ้วเดียว เป็นสัญลักษณ์ขอคืนดี เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหมายความว่าเป็นสัญลักษณ์เพื่อความสมานฉันท์ใช่ไหม นายอนเก กล่าวว่า ไม่ทราบ ช่างภาพให้ตนทำตนก็ทำ ขณะที่ พล.อ.เชษฐา ถ่ายภาพหลังการแถลงด้วยการชูนิ้วโป้ง
จากนั้นพล.อ. เชษฐา กล่าวถึงจุดยืน 4 ข้อของพรรคคือ 1.ทำให้เป็นสถาบันกเสิารเมืองอย่างแท้จริง 2.ดำเนินการให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ 3.จะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนให้ได้ และ4. จะสร้างความสมานฉันท์ให้กับทุกฝ่าย และในส่วนของนโยบายความมั่นคง พล.อ.เชษฐาแถลงด้วยว่า ขณะนี้ปัญหาบ้านเมืองมากมายจนวิปริต ซึ่งตนสัญญาว่าจะดำเนินการให้ลุล่วงให้ได้ โดยเฉพาะปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งตนจะดูแลให้ดีขึ้นตามแนวทางรู้เขารู้เรา รู้ลึกซึ้งและรู้จริง และขณะนี้ตนได้เตรียมการไว้หมดแล้ว อย่างไรก็ตามตนจะทุ่มเททุกอย่างและนำสิ่งต่างๆที่พรรคเตรียมการให้เป็นจริงให้ได้ เพราะปัญหาของการเมืองไทยคือการปฏิบัติไม่จริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้น นายอุตมะ ได้แถลงนโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยจะผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับไปอยู่ในระดับอย่างน้อยร้อยละ 5 ในระยะ 5 ปีข้างหน้า อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 3 ภาคการลงทุนแท้จริง ต้องขยายตัวไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ภายใน 5 ปี และดุลการคลัง ขาดดุลในระดับที่สูงไม่เกินร้อยละ 2 ถึง 2.5 ของ GDP โดยจะต้องเข้าสู่สมดุลใน 3 ปี และดูแลหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 40 ของ GDP โดยกรอบนโยบายรูปธรรม และแนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติบ้านเมืองจะไม่กระทบต่อวินัยการคลัง ของประเทศ
จากนี้นโยบายเศรษฐกิจในส่วนของนายอุตมะ ยังมีโครงการช่วยนกน้อยสร้างรังด้วยการลดภาษีบุคคล อาทิ คนโสดที่มีรายได้ ไม่ถึง 2.4 แสนบาทต่อปี และผู้ที่สมรสแล้วมีเงินเดือนไม่เกิน 2.8 แสน บาทต่อปี ไม่ต้องเสียภาษี และนอกจากนี้ผู้มีบุตรเดิมหักลดหย่อนได้ 2,000 บาทต่อคน ไม่เกิน 3 คน ปรับเพิ่มเป็น 5,000 บาทต่อคน ไม่จำกัดจำนวน , หากเลี้ยงดูคนพิการ ลดหย่อนได้ 30,000 บาท, ผู้เลี้ยงดูบิดามารดา ภาษีลูกกตัญญู เดิมหักได้ 30,000 บาท ปรับเพิ่มเป็น 50,000 บาท เป็นต้น
ด้านนายอเนก กล่าวแถลงนโยบายด้านชุมชนที่เน้นการกอบกู้ชุมชน ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง โดยจะมีการสานต่อนโยบาย S M L ขยายวงเงินจาก 2-3-4 แสน เป็น 4-5-6 แสน ต้องใช้งบปีละ 2 หมื่นล้านบาท สานต่อนโยบายกองทุนหมู่บ้านเพิ่มเงินเป็นปีละ 2 ล้านบาท โดยเมื่อมีการให้เงิน ต้องมีกฎ กติกา มารยาท โดยสร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใสชัดเจน ด้วยหลักการ “ธรรมาภิบาล” ที่มีประสิทธิภาพ โดยกำหนดให้มีการตรวจสอบจาก ปปช.จังหวัด , สตง. จังหวัด รวมทั้งการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม อาทิ สื่ออิสระในท้องถิ่น หรือผู้แทนของประชาชน สามารถเข้าร่วมตรวจสอบการใช้จ่ายได้ และนอกจากนี้จะมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนโดยมีงบประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
และในส่วนโยบายด้านการศึกษานายเอนก กล่าวว่าจะต้องดูแลทั้งส่วนของนักเรียน ครู และโรงเรียนให้อยู่ดี โดยในส่วนของเยาวชนต้องได้เรียนหนังสือตั้งแต่ระดับประถมศึกษาโดยเมื่อเข้าระบบการศึกษารัฐบาลจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง โดยรวมกับครอบครัวสะสมเป็นพันธบัตรเยาวชนจนจบการศึกษาเมื่ออายุได้ 18 ปี จะมีเงินสะสมไปใช้จ่ายต่อได้ ส่วนของครูที่ปัจจุบัน 130,000 คน เป็นหนี้เฉลี่ยคนละ1 ล้านบาท จะต้องแก้ไขปัญหาโดยการยืดเวลาชำระหนี้ และลดภาระดอกเบี้ย และนอกจากนั้นเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งความรู้เช่น โครงการ One Laptop per Child
ผู้สื่อข่าวรายงานว่านอกจากนี้นโยบายด้านชุมชนของนายอเนกก็ยังมีอีกหลายโครงการอาทิ 1. เบี้ยหวัดนมแม่ / บัตรเงิน (เรียนฟรี) / บัตรทอง (รักษาโรคฟรี) 2. ร่วมคิดร่วมทำ "ระบบกลุ่มฌาปนกิจชุมชน" ร่วมกับท้องถิ่น
3. หนึ่งตำบล หนึ่งนักเรียนทุน เรียนฟรีจนจบปริญญาเอก (ตำบลละ 1 คนต่อปี) 4. คนเฒ่าคนแก่ มีบำนาญประชาชน (1 ล้านคน) ได้รับ 2,000 บาทต่อเดือน (กรณีที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปไม่ได้รับราชการไม่มีบำเหน็จบำนาญ และเป็นผู้มีฐานะยากจน)
ขณะที่นายประดิษฐ์ กล่าวถึงนโยบายด้านการเกษตรว่า มีเป้าหมายหลักให้เกษตรกรลืมตา อ้าปากได้ด้วยนโยบายต่างๆ ประกอบด้วย 1.การพักชำระหนี้เกษตรกรที่มีเงินกู้ไม่เกิน 3 แสนบาท เป็นเวลา 3 ปี 2. การลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรรายย่อย เหลือไม่เกิน 5 % ปี จาก 7-10% ต่อปี เฉพาะที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 แสนบาท 3.แก้ปัญหาระบบน้ำครบวงจร 4.ประกันราคาพืชผลทางการเกษตร และ 5.ให้เกษตรกรที่ช้ไฟฟ้าใช้ไฟไม่เกินเดือนละ 100 บาท ได้ใช้ไฟฟ้าฟรี
ภายหลังการแถลง พล.อ.เชษฐา ยังกล่าวถึงนโยบายที่หลายส่วนมีความคล้ายกับพรรคพลังประชาชนแต่มีจำนวนงบประมาณมากกว่าจนอาจมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะเอาชนะพลังประชาชนใช่หรือไม่ว่า คงไม่ใช่ แต่อย่างที่ตนบอกไว้พรรคไหนมีแนวความคิดดีเราก็จะสานต่อเพราะเราเป็นพรรคใหม่ ความคิดที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนนั้นจริงๆแล้วไม่แตกต่างกันเท่าไหร่อยู่ที่ว่าใครจะมีรายละเอียดและตัวเลขทางการคลังแม่นยำกว่ากัน เพราะจะสามารถทำได้จริงถ้าทำไม่ได้ก็จะเกิดปัญหา