กกต.มีมติแบ่ง 2 เขตเลือกตั้ง จ.ลพบุรี พร้อมมีมติ มอบ กกต.จังหวัด ทำหน้าที่รับแจ้งจาก ปชช.ที่ได้เงินซื้อเสียง ด้าน “ประพันธ์” เชื่อถึงเวลามีคนไม่กลัวตาย แจ้งรับเงินแน่ ขณะที่การทำงาน กกต.อืด เพิ่งเห็นชอบออกประกาศระเบียบได้แค่ 4 ฉบับ จากที่ต้องเร่งออกทั้งสิ้น 33 ฉบับ
วันนี้ (17 ต.ค.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารเลือกตั้ง แถลงภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุมได้วางหลักเกณฑ์การแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 157 เขต ที่ต้องแบ่งเขตใหม่ใน 45 จังหวัด โดยมีหลักการว่าการแบ่งต้องมีเขตพื้นที่อำเภอติดต่อกัน ถ้าไม่จำเป็นต้องไม่มีการแบ่งอำเภอ รวมถึงจะนำรูปแบบการแบ่งเขตที่เคยใช้ในอดีตมาประกอบการพิจารณา โดย กกต.มีมติประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งของ จ.ลพบุรี ที่จะแบ่งเป็น 2 เขตเลือกตั้ง ได้เพียงจังหวัดเดียว เนื่องจากในการรับฟังความคิดเห็นของ กกต.จังหวัดไม่มีการยื่นคัดค้านของประชาชนจึงนำมาพิจารณาก่อน ซึ่งเขตเลือกตั้งที่ 1 มีประชากร442,549 คน มี ส.ส.ได้ 3 คน พื้นที่ประกอบด้วย อ.เมือง อ.บ้านหมี่ อ.พัฒนานิคม และ อ.ท่าวุ้ง และเขตเลือกตั้งที่ 2 มีประชากร 310,226 คน มี ส.ส.ได้ 2 คน มีพื้นที่ประกอบด้วย อ.ชัยบาดาล อ.โคกสำโรง อ.ท่าม่วง อ.ท่าหลวง อ.ลำสนธิ อ.โคกเจริญ และ อ.สระโบสถ์ และ กกต.จะพิจารณาแบ่งเขตเลือกตั้งในจังหวัดอื่นๆ ในการประชุมวันที่ 19 ต.ค.นี้ เพื่อที่จะประกาศให้ได้โดยเร็ว จากนั้นจะเริ่มทยอยพิจารณาร่างระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีได้พิจารณาการกำหนดหลักเกณฑ์การลงทะบียนของผู้ที่ประสงค์จะลงคะแนนนอกเขตจังหวัดโดยสามารถมายื่นคำขอได้ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค.- 22 พ.ย.โดยใช้หลักฐานเพียงบัตรที่ทางราชการออกให้ มีรูปและเลขประจำตัว 13 หลัก เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องใช้สำเนาทะเบียนบ้าน หรือหนังสือรับรองจากนายจ้างเหมือนในอดีต ทั้งนี้ การแจ้งลงทะเบียนสามารถแจ้งด้วยตัวเอง มอบหมายคนอื่น หรือส่งทางไปรษณีย์ โดยนายทะเบียนจะตอบรับกลับมาทางไปรษณีย์ ส่วนวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า กำหนดวันที่ 15-16 ธ.ค.ในเวลา 08.00-17.00 น.
สำหรับการลงคะแนนเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร จากข้อมูลมีประเทศที่ต้องจัดให้มีการลงคะแนน 65 ประเทศ มีสถานทูต และสถานกงสุลใหญ่ที่จะดำเนินการ 90 แห่ง โดยทางสถานทูตกำหนดระยะเวลาการลงทะเบียนในวันที่ 22 ต.ค.– 22 พ.ย. ส่วนวันลงคะแนนจะอยู่ในช่วง 3-16 ธ.ค.โดยแต่ละสถานทูตจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะเลือกวิธีการลงคะแนนแบบใดจาก 3 วิธีที่กฎหมายกำหนด คือ จัดคูหา ณ สถานที่ลงคะแนน จัดการลงคะแนนทางไปรษณีย์ หรือใช้รถโมบายล์เคลื่อนที่ไปอำนวยความสะดวก
นายประพันธ์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีมติมอบหมาย ให้ กกต.จังหวัด ผอ.กต.จังหวัด พนักงานฝ่ายปกครอง ตำรวจ หรือพนักงานสอบสวนเป็นผู้รับแจ้งจากประชาชนที่ได้รับเงินซื้อเสียง ตามที่มาตรา 152 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.กำหนดให้ กกต. กลางสามารถมอบหมายหน้าที่ดังกล่าวให้กับบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ หากประชาชนที่รับเงินซื้อเสียงแล้วนำมาแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ดังกล่าวภายใน 7 วันนับแต่วันเลือกตั้ง ก็จะไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย โดยผู้ให้จะมีโทษจำคุก 10 ปี และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี แต่หากผู้รับไม่นำมาแจ้ง แล้วไปตรวจสอบพบ ผู้รับจะมีโทษจำคุก 5 ปี และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี ขณะเดียวกัน หากผู้แจ้งมุ่งหวังที่จะกลั่นแกล้งผู้สมัคร จะมีความผิดฐานแจ้งเท็จที่มีบทลงโทษรุนแรงจำคุก 10 ปี และอาจถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี รวมทั้งหากพิสูจน์ได้ว่าพรรครู้เห็นกับการกระทำ ก็ต้องมีสิทธิเข้าข่ายถูกยุบพรรคได้ เพราะถือเป็นความผิดด้านความมั่นคง
ทั้งนี้ นายประพันธ์ ยืนยันว่า ผู้ที่รับเงินและนำเรื่องพร้อมพยานหลักฐานมาแจ้ง หากเห็นว่าตนเองไม่ปลอดภัยก็สามารถแจ้งมายัง กกต.ได้เพราะกรณีนี้เป็นความผิดทางอาญาที่เข้าตามกฎหมายคุ้มครองพยาน และ กกต.ก็จะประสานไปยังกระทรวงยุติธรรม เพื่อเข้าโครงการคุ้มครองพยานต่อไป โดยที่ผ่านมา กกต.พยายามปกปิดชื่อพยานอยู่แล้ว แม้แต่มีการใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารก็จะมีการปกปิดชื่อพยานในคำวินิจฉัย ซึ่งก็เชื่อว่าเมื่อเลือกตั้งจะมีการมาแจ้งของประชาชนที่ได้รับเงินซื้อเสียง
นายประพันธ์ ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้กฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมีผลใช้บังคับแล้ว หากมีข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเงินที่ชัดเจนเข้ามา กกต.ก็สามารถประสานไปยัง ปปง.และธนาคารเพื่อดำเนินการตรวจสอบได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ในขณะนี้มีแนวโน้มสูง พ.ร.ฎ.เลือกตั้งอาจจะมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์หน้า แต่ปรากฏว่า การทำงานของ กกต.กลับยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร โดยเฉพาะในเรื่องของระเบียบและประกาศที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ที่ต้องออกถึง 33 ฉบับ แต่ขณะนี้กลับมีระเบียบเพียง 4 ฉบับที่ผ่านการพิจารณาของ กกต.คือ ร่างระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, ร่างระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งและคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง, ร่างระเบียบ กกต.ว่าด้วยค่าตอบแทนของผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งอนุกรรมการประจำอำเภอ กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ช่วยหลือการปฏิบัติงานในการลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และร่างระเบียบกกต.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภานอกราชอาณาจักร เท่านั้น
ทั้งนี้ ยังมีระเบียบที่จำเป็นอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ผ่าน กกต.โดยมีทั้งที่ผ่านและยังไม่ผ่านการพิจารณาในระดับเจ้าหน้าที่ อาทิ ร่างระเบียบว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนวินิจฉัยและชี้ขาด ระเบียบเรื่องการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ร่างระเบียบ กกต.วย่าด้วยการหาเสียง ข้อควรปฏิบัติและข้อห้ามมิให้ปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส.และการดำเนินการใดๆ ของพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการจัดทำรายรับรายจ่ายของสมุห์บัญชีเลือกตั้ง ร่างระเบียบว่าด้วยการปฏิบัติงานขององค์กรเอกชน ที่ได้รับการอนุมัติโครงการตรวจสอบการเลือกตั้ง เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีเขตเลือกตั้งอีกเป็นจำนวนมากที่ กกต.ต้องประกาศแบ่งเขตเลือกตั้ง รวมไปถึงการคัดเลือก กกต.เขต ทั้ง 157 เขต ทั่วประเทศ ที่ปัจจุบันยังไม่ได้เข้าสู่ที่ประชุม กกต. เลย โดย กกต.ต้องเร่งแต่งตั้งเพื่อทำหน้าที่รับสมัครเลือกตั้ง จึงทำให้หลายฝ่ายเกรงว่า ด้วยระยะเวลาที่กระชั้น อาจจะทำให้ กกต.ทำงานไม่ทันตามเวลา และอาจจะเกิดปัญหาในอนาคตได้
อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารเลือกตั้งกล่าวยอมรับว่า งาน กกต.นั้นมีมาก เพราะ กกต.ชุดนี้ต้องทำงานตามกฎหมายใหม่จึงต้องการมีการออกระเบียบเป็นจำนวนมากรวมถึงแบ่งเขตเลือกตั้งด้วย แต่ กกต.ก็จะพยายามประกาศทำให้ทันตามที่กำหนดในเวลาที่มีอยู่