สัปดาห์ที่ แล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในฐานะควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสด ๆ ร้อน ๆ ควงบิ๊กมหาดไทยเต็มคณะเดินทางไปที่ กกต. ยืนยันกำหนดเลือกตั้ง 23 ธันวาคมตามเดิม แถมพกด้วยข่าว กกต.รับลูกอ้างถึงการนั่งประชุมหารือที่หยิบยกประเด็นซื้อสิทธิ์ ขายเสียง จึงได้บทสรุปนำมาสู่ การเตรียมประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ ว่าด้วยการไม่ซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ในที่สุด
อันว่า การรณรงค์ต่อต้านการขายเสียงนั้น เป็นผลงานดั้งเดิมของกระทรวงมหาดไทย ที่เริ่มต้นจากแคมเปญ อย่านอนหลับทับสิทธิ์ หรือ รักประชาธิปไตยต้องไปเลือกตั้ง ติดตามมาด้วยคำขวัญในทำนอง ซื้อเสียงขายสิทธิ์ เหมือนขายชีวิต ขายชาติ ในยุคหลัง...และก็ได้ผลเกินคาด เพราะแคมเปญที่ตอกย้ำกันมาต่อเนื่องกว่า 15 ปี
ภายใต้ชุดความคิด ประชาธิปไตย = การเลือกตั้ง ดังกล่าว ยังผลให้สังคม - วัฒนธรรมการเมืองไทยยังไม่ไปไหน ติดอยู่ในกับดัก ประชาธิปไตย 4 วินาที ระหว่างการหย่อนบัตร อย่างที่เห็นและเป็นอยู่
น่าเสียดายโอกาสและเวลา 1 ปีที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะแทนที่รัฐบาลนี้จะฉกฉวยใช้วิกฤติที่เกิดเพื่อสร้างบรรทัดฐาน - ธรรมเนียม - ค่านิยม อันเป็น วัฒนธรรมการเมืองใหม่ นำสังคมไทยให้หลุดพ้นจาก ลัทธิ เลือกตั้งธิปไตย สถาปนาประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ส่งเสริมธรรมเนียมใหม่ของการตรวจสอบ ถ่วงดุล และ เหนี่ยวรั้งการใช้อำนาจ ที่ประชาชนเข้าถึงและใช้อำนาจนั้นได้ตลอดเวลา
น่าเสียดายที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ชื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ยังให้น้ำหนักต่อแนวทาง เลือกตั้งธิปไตย มากกว่า การปฏิรูปการเมือง กระตุ้นและเสริมสร้างวัฒนธรรมใหม่ ให้เป็นจริงขึ้นมา ตัวอย่างง่ายที่สุดว่าด้วย จริยธรรมและความรับผิดชอบทางการเมือง ที่ 5 รัฐมนตรีทั้งหน้าบางมาก - บางน้อยลดหลั่นกันไปได้แสดงสปิริตลาออกนั้น แทนที่จะชูประเด็น จริยธรรมทางการเมือง ที่จับต้องได้และเป็นจริง...สร้างบรรทัดฐานใหม่ อธิบายต่อสังคมให้เด่นชัด ตอกย้ำ ขยายความ เร่งกระบวนการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในอนาคต แต่กลับละทิ้งโอกาส ซ่อนประเด็นดังกล่าวไว้ข้างหลัง และใช้คำอธิบายแก้ตัวว่ากฎหมายเปิดช่อง เราไม่ผิดขึ้นมาข้างหน้าแทน... เวลาเหลือน้อยหมดหวังแล้วกับการที่จะได้เห็น วาระแห่งชาติเรื่องการสร้างคุณธรรม - จริยธรรม หรือ วาระแห่งชาติว่าด้วยการปฏิรูปการเมือง – เลิกคิดดีกว่า!!
......................
ย้อนนึกเทียบกับที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ปราศรัยที่ ยู.เอ็น.ถึงกรณีทหารพม่ายิงพระ โดยการใช้ศัพท์ทางการทูตว่า ยอมรับไม่ได้-Unacceptable หรือที่ประชาคมอาเซียนเลือกใช้คำที่แรงที่สุดเท่าที่วงการทูตจะใช้กันคือ ขยะแขยง-Revulsion...ระยะเวลา 1 ปีเต็ม รัฐบาลนี้ได้ทำอะไรลงไปแล้วบ้าง ที่จะทำให้สังคมไทยเกิดค่านิยมใหม่ ยอมรับไม่ได้ - Unacceptable กับนักการเมืองที่ ประพฤติผิดทางจริยธรรม แม้กระทั่งการโกหกประชาชนเช้าพูดอย่างเย็นพูดอย่างที่หัวหน้ารัฐบาลหนึ่งเคยประพฤติ รัฐบาลนี้ได้พยายามอะไรบ้างที่จะสร้างค่านิยมใหม่ ให้ประชาชนรู้สึก ขยะแขยง - Revulsion ต่อการทุจริตโกงกิน ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายสร้างเสริมคุณธรรมเอาไว้ต่อสภาฯ – จำได้หรือไม่ ?
ที่เห็นถึงความพยายามสร้างค่านิยมใหม่ นำข้อมูลการทุจริตประพฤติมิชอบเผยแพร่ออกมาสู่สังคม ทำให้สังคมรู้สึกว่าการคดโกงไม่ดีและถูกติดตามเอาผิด มีแต่เพียง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ- คตส. เท่านั้น ที่ได้พยายามดิ้นรนผลักดัน อย่างโดดเดี่ยว โดยที่รัฐบาลไม่เคยสนับสนุนแล้วยังขัดแข้งขัดขาเสียอีก
ภายใต้การดิ้นรนอย่างโดดเดี่ยว สื่อรัฐไม่สนใจขยายผลให้ คตส. จึงประดิษฐ์คำ พยายามใช้กลยุทธ์ทางการสื่อสาร ทำเรื่องยากให้เข้าใจง่าย อย่างเช่น การอธิบายความกรณีซุกหุ้นภาค 2 ภายใต้ชุดข้อมูลเรื่อง ทุจริต ร.ศ.215 ออกมา มีทั้งตาราง ทั้ง แผนภูมิ เพื่อให้เข้าใจง่ายและกว้างขวางที่สุด ...
ล่าสุดเพิ่งจะมีลูกเล่นตั้งชื่อเมนูอาหารเลี้ยงนักข่าว ในงานราตรีใบตองแห้ง คตส.คุยตอบสื่อ เนื่องในวาระที่ คตส.ทำงานครบรอบ 1 ปี โดยตั้งชื่อเมนูอาหาร เช่น ต้มยำที่ดินรัชดา น้ำพริกเอื้ออาทร กระเพาะหมูผัดกล้ายาง ปลาทอดกรอบซีทีเอ็กซ์ ผัดบล็อกโคลีซุกหุ้น – ด้วยความเข้าใจธรรมชาติของสื่อ ขอให้รู้ว่านี่เป็นความพยายามของหน่วยงานภาครัฐที่ต้องการจะผลักประเด็นออกสู่สังคมให้เกิดผล ภายใต้งบประมาณและ ไม่ได้รับการสนับสนุน ที่ ไม่อู้ฟู่เหมือนรัฐบาล ซึ่งมีอำนาจและกลไกครบถ้วน แต่คิดได้เพียงแค่จะขึ้นคัตเอาต์ต่อต้านกาขายเสียงปูพรมไปทุกอำเภอก่อนเลือกตั้ง
สืบเนื่องจากเรื่องนี้มีที่ติดใจประเด็นเล็ก ๆ ประเด็นเดียวคือ ทุจริต ร.ศ.215 ไม่รู้ว่าเป็นเทคนิคหรือต้องการซ่อนรหัสให้ขบคิดต่อหรืออย่างไร เพราะหาก คตส.ต้องการสื่อคำ ร.ศ. ที่หมายถึง รัตนโกสินทร์ศก ปี พ.ศ.2550 ควรจะตรงกับ ร.ศ.225 เพราะรัตนโกสินทร์ศกนั้น เริ่มเมื่อ พ.ศ.2325 ผิดถูกเช่นไรวานบอก..นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากเป็นเกร็ดที่บังเอิญผ่านตา - แค่นั้นเอง
......................
ไหน ๆ พูดเรื่องจริยธรรม - คุณธรรม กันแล้วขอเก็บตกช่วงสุดท้ายไปเยี่ยม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ภายใต้การกำกับของ รมว.ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ผู้มีภาพลักษณ์สวยใสไร้ราคีสักหน่อย กระทรวงนี้น่าจะเป็นต้นแบบของทรัพยากรมนุษย์ที่ดีงาม เป็นตัวผลักดันให้สังคมเข้มแข็ง สร้างค่านิยมไม่ยอมรับ ชุดความคิดโกงไม่เป็นไรขอให้ทำงาน แต่ปรากฏบรรยากาศของที่นั่นกลับตรงกันข้าม
สื่อกำลังชอนไชเรื่องราวของ ผู้ใหญ่ ในกระทรวงนี้ ที่เข้าข่ายทั้งอาจมีโกง และประเด็นว่าด้วย บิ๊กขี้หลี กวาดลูกน้องทั้งสาวทั้งไม่สาวมาอยู่ใน ฮาเร็มส่วนตัว จะให้ลงรายละเอียดเกรงจะไป แย่งงาน ซ้อเจ็ด..แต่ที่สุดสังคมไทยคงละเว้นเรื่องแบบนี้กับนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงไม่ได้ เทียบเคียงกรณี ลูวินสกี้ น่าจะเข้าใจง่ายขึ้น
แบบรวบรัด เข้ารหัสกันเอาเอง สมมติตัวละครว่า บิ๊กแหวน ตามนายจนได้ดีนั่งเก้าอี้ใหญ่มาก ๆ มาตั้งแต่รัฐบาลก่อน ไปได้ลูกน้องสาววัยกลางคนเลข 40 กว่าๆ ที่บังเอิญ มีทั้งลูก - ผัวแล้ว มีนามตามท้องเรื่องว่า คุณฟ้า ก่อนรัฐประหารคุณเธอดำรงตำแหน่งเป็น ผ.อ.ละแวกกรมประชาสงเคราะห์ หลังจากนั้นก็ ขึ้น ซี.9 พาสชั้นอย่างรวดเร็ว มีตำแหน่งปัจจุบันเป็นถึง รองฯ ผู้ใหญ่ ในกรมหนึ่ง แนวโน้มจะเติบโตพรวด ๆ ได้อีก..แต่ปรากฏว่าระหว่างที่คุณฟ้าเผลอ บิ๊กแหวน ผู้นิยมสร้างฮาเร็มไปต้องตาต้องใจลูกน้องสาวอีกคนหนึ่ง ที่เด็กกว่าสวยกว่า เคยทำงานเป็น หัวหน้าบ้านสงเคราะห์เด็ก แห่งหนึ่ง บิ๊กแหวนจึงจัดแจงย้ายว่าที่คนใหม่ เข้ามานั่งอยู่หน้าห้องรองอธิบดีกรมหนึ่งพักไว้ ก่อนจะเลื่อนขั้นนั่งอยู่แถว ๆ กองซึ่งทำงานเกี่ยวกับบุคคล ที่ทำงานใกล้กันหวานมันยิ่งขึ้น..พล็อตเรื่องนี้ไม่ต้องเดาก็ได้เพราะที่สุดเกิดกรณีปีนเกลียวเหมือนละครหลังข่าวจนฉาวโฉ่ออกมาภายนอกในที่สุด
เรื่องฮาเร็มก็เรื่องหนึ่ง ส่วนเรื่องการส่งคนใกล้ชิดนั่งตำแหน่งใหญ่นี่สิสำคัญกว่า การแต่งตั้งโยกย้ายในกระทรวงแห่งนี้ย้อนหลังดูได้เลยระยะ 3 ปีมานี้มีแต่บัญชีเด็กฝาก เด็กนาย ข้ามอาวุโสกันให้ควั่ก และมีเงินทองเกี่ยวข้องกันทุกขั้นตอน
ตัวอย่างเล็ก ๆ อย่างในหน่วยงานที่ต้องออกไปฝึกอบรมจัดสัมมนาภายนอก เกี่ยวข้องกับ การพัฒนาสตรี มีงบประมาณเกี่ยวข้อง 20-30 ล้านบาท คุณบิ๊กแหวนผู้นิยมตั้งฮาเร็ม ได้จัดส่ง คนใกล้ชิด ซึ่งแน่นอนว่าเป็น ผู้หญิง อีกเข้าไปนั่งกำกับ ส่วนจะจัดสรรส่วนเกินส่งรายได้อย่างไรกันนั้น ไปสอบดูเอาเอง ส่วนเรื่องเงินมูลนิธิเป็นร้อยล้านไม่ผ่านระบบนั้น - ขอบอกไปยัง ฯพณฯ ไพบูลย์ ว่ามีมูลได้โปรดอย่างวางเฉย ...
ผ่านไปหนึ่งปีของการประกาศ นโยบายมุ่งจริยธรรม - คุณธรรม - ปราบคอร์รัปชั่น ของรัฐบาล ผลเป็นเช่นไรก็เห็นกันอยู่ ..พยายามจะเข้าใจว่ารัฐบาลนี้ทำตามกรอบนโยบายของ คณะทหารเคร่งครัดแล้ว ดังปรากฏตาม คำขวัญในเว็บไซต์ คมช. ที่ได้วงเล็บต่อท้ายชื่อ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ว่า“คุณธรรมนำไทย” ก็พลันถึงบางอ้อ เข้าใจในบัดดล
รัฐบาลพูดเรื่องนี้กับ คตส. ทีไร รัฐบาลก็มักจะทำตามนโยบายว่า “คุณ น่ะ ทำ” ผมไม่ทำ !!
นี่มิใช่มุกส่งท้ายนะ.. อย่าฮาเด็ดขาด ..เอาเรื่องจริงจังมาพูดกันเลยทีเดียว !