“มท.1” จำใจขอโทษประชาชน อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ซุกหุ้นปลากระป๋อง ตกเป็นเหยื่อของสังคม ปฏิเสธไม่ได้เป็น “พ่อตา” บิ๊กบัง เพราะลูกสาวอยู่ต่างประเทศ อัดคนปูดข่าวบาปหนัก
วันนี้ (26 ก.ย.) นายอารีย์ วงศ์อารยะ รมว.มหาดไทย ได้เปิดบ้านแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่บ้านซอยลาดพร้าว 41 ว่า จากเหตุการณ์ที่มีข่าวเรื่องของการถือหุ้นของผมเกิน 5% ซึ่งทาง ป.ป.ช.ได้แถลงการณ์ว่า ผมได้ถือหุ้นเกิน 5% ตั้งแต่สมัยเป็น รมช.ศึกษาธิการ แต่เป็นระยะเวลาเกินมา 2 ปีแล้ว โดยที่กฎหมายก็ไม่ได้กำหนดโทษการถือหุ้นแต่อย่างได ต่อมาเมื่อเข้ามารับตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ก็เสนอบัญชีทรัพย์เหมือนอย่างตอนที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย และ รมช.ศึกษาธิการ ก็ได้เสนอบัญชีทรัพย์สินไปเหมือนเดิม ไม่มีปิดไม่มีอะไรที่จะไปแอบแฝงหรือซุกใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพราะความไม่รู้ มีเท่าไหร่ก็เสนอไปหมดด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะหลักฐานที่จะเสนอกับ ป.ป.ช.ก็ไม่ได้ระบุไว้ในเอกสาร ว่า ใครมีหุ้นเกิน 5% แล้วจะต้องดำเนินการประการใด แม้กระทั่งวิธีการในหลักการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเข้าไปเป็นรัฐมนตรีแล้ว เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานของคณะรัฐมนตรีต้องบอก เพราะรัฐมนตรีไม่มีโอกาสที่จะรู้ ถ้าไม่บอกเรา เราก็ไม่รู้ เมื่อไม่บอกเราก็เสนอไปตามเดิมถ้าบอกเราก็จะแก้ไข
ดังนั้น ตนจึงเสนอไปเหมือนเดิม ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ความไม่รู้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กฎหมายปี 2550 ก็ไม่ได้กำหนดโทษเอาไว้ชัดเจนว่า เป็นความผิด ไม่ต้องออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย
นายอารีย์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ปรากฏใหม่ขึ้นมา ที่ตนไม่รู้คือ การที่ตนมีหุ้นอยู่ในบริษัท ปุ้มปุ้ยจำนวน 30,000 หุ้น ที่เป็นหุ้นมีราคาประเมินแล้วหุ้นละไม่ถึง 10 สตางค์ รวมหุ้นทั้งหมดจำนวน 0.3% คิดเป็นมูลค่าแล้วไม่ถึง 1% ตนจึงไม่ได้สนใจ อย่างที่บอกไปแล้วว่า มีเท่าไหร่ก็บอกไปเท่านั้น แต่เมื่อผลปรากฏออกมาว่า ทางกรมการปกครองได้จัดซื้อเครื่องกระป๋อง 2 ครั้ง ในราคาไม่เกิน 6 ล้านบาทจริง ซึ่งเป็นช่วงที่ตนมาเข้ามาเป็น รมว.มหาดไทย เป็นเวลาเดียวกันที่ได้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทนี้ ซึ่งการจัดซื้อขอเรียนว่า โอกาสที่ รมว.จะทราบไม่มีเลย ถือเป็นอำนาจของอธิบดีกรมการปกครองที่เป็นผู้ดำเนินการ ตามระเบียบที่ได้กำหนดเอาไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในเรื่องของการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะฉะนั้นการจัดซื้อนั้น เขาก็ซื้อไป โดยความเป็นอิสระของเขา ทางรัฐมนตรีคงไม่มีโอกาสไปรับรู้ได้เลยว่า เขาซื้ออะไรบ้าง แต่ในฐานะที่ผมเป็นผู้รับผิดชอบตามกฎหมายของ ป.ป.ช.เมื่อเข้าจัดซื้อไปแล้ว โดยที่ตนมีหุ้นอยู่ ความรับผิดชอบย่อมต้องตกอยู่ที่ตนทันทีเช่นกัน
“วันนี้ต้องเรียนว่าผมรับผิดชอบในสิ่งที่เจ้าหน้าที่ผมทำไป เพราะถือว่าเขาทำไปแม้ว่าผมไม่ทราบ แต่เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นผมจึงขอลาออกจากการเป็น รมว.มหาดไทย โดยจะยื่นหนังสือลาออกในวันที่ 1 ตุลาคม หลังจากที่นายกรัฐมนตรีกลับมา วันนี้ยืนยันว่า ผมขอลาออก ต้องเรียนว่า ในช่วงเวลาที่ผมพูด ผมมีความมั่นใจว่าผมไม่ผิด เพราะฉะนั้นต้องขอโทษกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายว่า ความผิดมันเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ว่าเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับความผิด การกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นแล้วพาดพิงถึงผมมันหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ ต้องขอโทษคุณบรรดาพี่น้อง ที่มีความหวังดีไว้ด้วย ผมไม่ตั้งใจอยากจะทำสิ่งที่เกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้ แต่กฎหมายก็คือกฎหมาย ความรับผิดชอบคือความรับผิดชอบ ผมรับผิดชอบที่ผมทำ ขณะนี้ผมได้นำเรื่องเรียนท่านนายกรัฐมนตรีแล้วว่า ผมขอลาออก ท่านก็ยินยอมให้ผมลาออกแล้ว จึงขอเรียนให้ทราบ ต้องขอโทษทุกๆ ท่านด้วย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการที่มีกระแสข่าวบุตรสาวมีความสัมพันธ์กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช.นั้น นายอารีย์ กล่าวว่า เป็นความเลวร้าย ขอเรียนว่า ครอบครัวของตน ต้นตระกูลไม่เคยทำเสียชื่อเสียงเลย บรรพบุรุษได้รักษามาตลอด ถ้าตนไปทำเช่นนั้นจะไม่ใช่ตน ต้องเป็นพวกข้างถนน ซึ่งลูกสาวของตนก็เรียนอยู่ที่เมืองนอก ยังไม่ได้กลับไม่ได้อยู่ที่นี่ ส่วนอีกคนเพิ่งกลับจากนอก กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดลไม่ได้มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นคนที่กล่าวหาตนขอบอกว่า บาปนะครับ ในทางศาสนาถือเป็นการใส่ร้ายกันอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เป็นจริง
ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีจะมานั่งควบตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ด้วยนั้น นายอารีย์ กล่าวว่า ตนก็ดีใจเพราะท่านรู้รายละเอียดทั้งหมด เช่น ปัญหาภาคใต้ ต้องเรียนว่า น่าเสียดายคืองานที่ตนวางไว้เป็นงานที่มีความสำคัญต่อประเทศ เช่น กฎหมายเลือกตั้ง การดูแลความเรียบร้อยโดยเฉพาะใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการเลือกตั้ง อพปร.ตามที่ตนเสนอกับรัฐบาลไว้ ตอนนี้ซึ่ง อพปร.เกินที่เราตั้งเป้าไว้ เสียดายว่า ตนอยากจะทำงานเพื่อชาติและการเลือกตั้ง ประชาชนได้รับความ เข้าใจและเลือกคนที่ดีมาเป็นตัวแทน
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่มานั่งกระทรวงมหาดไทยหรือไม่ นายอารีย์ กล่าว่า ตนตอบไม่ได้ ในเรื่องนี้ผู้สื่อข่าวถามย้ำกรณีที่มีข่าวว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.อาจจะเข้ามานั่งในตำแหน่งนี้ นายอารีย์ กล่าวว่า ตนไม่มีคำตอบ ทั้งนี้ ตนไม่ได้พูดกับนายกรัฐมนตรีถึงคนมาแทนตน ตนบอกแค่ว่าเมื่อมีเหตุการณ์ที่ตนต้องรับผิดชอบ ตนก็ต้องแสดงความรับผิดชอบทั้งที่เสียดาย เพราะทำงานกับท่านมาด้วยดี แต่หากไม่ทำเช่นนี้ปัญหาจะไม่จบที่ตน แต่ความกดดันต่างๆ จะไปหาท่าน ตนจึงคิดว่าควรจะลาออกเพื่อให้ท่านทำงานด้วยความสบายใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่า อธิบดีกรมการปกครองชี้แจงเรื่องนี้อย่างไร นายอารีย์ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้เจอกับท่านเลย และคิดว่าไม่จำเป็นต้องพบ เนื่องจากตนดูหลักฐานหมดแล้ว ปรากฏว่า มีการทำสัญญาจริง แต่การจัดซื้อแบบนี้ทำมาหลายครั้งตั้งแต่ก่อนที่ตนมาทำงานด้วยซ้ำ เพียงแต่จัดซื้อครั้งนี้ตนไปมีหุ้น 30,000 หุ้น ซึ่งตนไม่คิดว่าหุ้นนี้สำคัญ แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า มีกระแสข่าวว่า มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง นายอารีย์ กล่าวว่า อย่าไปพูดถึงเรื่องนั้นเลย ตนก็รับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงจะรู้หรือไม่ก็ต้องรับผิดชอบ แต่โดยเจตนาตนไม่เคยมีเจตนากระทำผิด ทั้งเรื่องการแจงทรัพย์สิน หรือการจัดซื้อ ส่วนการที่ ป.ป.ช.จะสอบเพิ่มก็เป็นหน้าที่ของเขา ตนยินดี เพราะตนทำไปโดยไม่มีเจตนาและไม่รู้ ทุกครั้งตนทำไปด้วยความสุจริตไม่แอบแฝงซ้อนเร้นมีอะไรก็บอกเขาไปว่าเรามีเท่านั้นเพื่อความสบายใจ แต่ก็ถือเป็นความสะเพร่าของตนด้วยในเรื่องการถือหุ้นเกิน 5% ถ้าหากรู้ก็คงไม่เกิดปัญหานี้ขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่บุตรชายจะมาลงการเมืองนั้น นายอารีย์ กล่าวว่า ไม่ขอตอบในเรื่องนี้ แต่ตนไม่สนใจที่จะลงการเมือง