.
ข่าวลอย ๆ ว่าด้วยเงินจากบ่อนการพนันประเทศเพื่อนบ้านระบาดเชียงราย เมื่อถูกกระบวนการถามผ่านไมโครโฟนจากคนใหญ่โต ก็กลายเป็นกระแสข่าวใหญ่.. ดูเหมือนจริงไปทันที
จะขอเล่าเรื่องบ่อนเชียงรายเพื่อให้เข้ากับกระแสข่าวและความสงสัยของสังคม ช่วงวันสุกดิบใกล้ลงประชามติ ...
บ่อนเชียงรายที่ดังที่สุดคงหนีไม่พ้น โรงแรมโกลเด้นไทรแองเกิ้ล พาราไดซ์รีสอร์ท ตรงข้ามสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งใช้พื้นที่ชั้นล่างทั้งฟลอร์เป็นบ่อนกาสิโน เดิมทีนั้น เป็นของตระกูล โพธสุธน ...
ข้อเท็จจริง บ่อนแห่งนี้หาใช่ของ โพธสุธน ทั้งร้อยไม่ !
โรงแรม + บ่อน แห่งนี้ก่อสร้างล่าช้าเพราะปัญหาภายในผู้ถือหุ้นชาวญี่ปุ่น จนเมื่อปี 2538-2539 ปรากฏชื่อของหุ้นส่วนรายใหม่ ขอเรียกสั้น ๆ ว่า
“ เฮียกวง”
เฮียกวง - จิรฐา อนุภาวธรรม ซึ่งคนในแวดวงเสี่ยงโชครู้จักกันดี
ประวัติสังเขป เกิดปี 2489 ก่อนหน้านี้อยู่แถบบุคโล ธนบุรี กทม. ต่อมาย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ละแวก เจริญนคร คลองสาน กทม. มีลูก 5 คน ซึ่งก็อายุเกิน 30 ปีแล้วทั้งสิ้น
เฮียกวง เข้ามาถือหุ้น ในช่วงที่ โพธสุธน มีปัญหาเกี่ยวกับผู้ร่วมทุนจนทำให้การก่อสร้างแล้วเสร็จ..... ทำธุรกิจร่วมกันอย่างราบรื่นได้เพียงพักเดียว...จนเมื่อช่วงปี 2546 ข่าวว่าเกิดปัญหาภายใน ...ขัดแย้งกันหนักพอสมควร จึงได้หาคนของตัวเองมาช่วยบริหารและยังได้มือดีนาม “ทุย –สมศักดิ์” เซียนพนันตัวยง ที่เคยมาลงทุนแถว สวนบวกหาด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หนึ่งในคนสนิทของ ปอฯ มาช่วยงานด้านธุรกิจกาสิโนด้วย
เวลานั้น ไทยรักไทยเป็นรัฐบาลแล้ว เฮียกวง เริ่มสนิทกับนักการเมืองไทยรักไทยขึ้นเรื่อย ๆ นอกจาก ยงยุทธ ติยะไพรัช เจ้าถิ่นเชียงรายแล้ว ยังปรากฏว่า เฮียกวง ให้ความสนิทและถือเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกับอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณอีกคนหนึ่ง
ขอเรียกชื่อย่อว่า “ส.มุ้งใหญ่” ดึงมาร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจ
ดังนั้น - - โกลเด้นไทรแองเกิ้ล ฯ จึงถูกแบ่งผลประโยชน์ธุรกิจเป็น 2 ส่วน แบ่งกันดูแลระหว่างกลุ่ม “เฮียกวง/ส.มุ้งใหญ่” ฝ่ายหนึ่ง และกลุ่มโพธสุธน อีกฝ่ายหนึ่ง
ในยุคปลายทักษิณ – เฮียกวง พยายามจะรวบรัดเรื่องหุ้นและความเป็นเจ้าของกิจการแห่งนี้ โดยเปิดโต๊ะเจรจา ที่มี อดีต อดีต ส.ส.ไทยรักไทย ในพื้นที่ รวมถึงเจ้าของนาม ป.เป็ด – แม่เลี้ยงทิพย์ – กวงอีสาน เป็นพยานการเจรจาขอซื้อบ่อนกาสิโน ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจาก “ตระกูลโพธสุธน”
ข่าวไม่ยืนยันว่าผลการเจรจาออกมารูปใด !! รู้แต่เพียงว่าเวลานี้ เฮียกวง คือเบอร์ 1 ของโกลเด้นไทรแองเกิ้ลฯ เต็มตัว
.............................
เฮียกวง กับ ยงยุทธ ติยะไพรัช สนิทสนมกันเป็นพิเศษ
ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2549 มีคนเห็นผู้ที่หน้าตาคลับคล้ายคลับคลา ยงยุทธ ข้ามฝั่งน้ำโขงไปยัง กาสิโนสามเหลี่ยมทองคำ นั่งโต๊ะเจรจากับ เฮียกวง อย่างเคร่งเครียด และมีผู้ร่วมโต๊ะอีกสองราย หญิงหนึ่ง-ชายหนึ่ง
ร่ำลือกระหึ่มเชียงรายว่าเพื่อฝากฝัง - และเจรจาเรื่องสินทรัพย์บางอย่างของผู้จะจากไป !!
เอาเป็นว่า เฮียกวง กับ ยงยุทธ สนิทกันแน่ ... จึงไม่แปลกที่จะมีการชี้ว่า มีเงินจากบ่อนเชียงรายที่สนิทกับนักการเมืองอำนาจเก่าข้ามโขงมาแจกล้มประชามติ แต่กระนั้นคนทำมาค้าขาย – อยู่ในพื้นที่สีเทา แบบนี้หยั่งสายสัมพันธ์ขาเดียวไม่ได้ ใครมีอำนาจก็ต้องวิ่งหา เป็นพวก
อย่าลืมว่า ครั้งที่ แตกคอกับ โพธสุธน นั้น เฮียกวงคนนี้เองที่ดึง ส.มุ้งใหญ่ นักการเมืองใหญ่ระดับรัฐมนตรีมาร่วม ถึงขั้นที่ ส.มุ้งใหญ่ ปรากฏตัวที่เชียงแสนบ่อย ๆ ข้ามฝั่งไปนอนค้างเป็นกิจวัตร วันนี้ ส.มุ้งใหญ่ ประกาศแยกตัวจากไทยรักไทย – และดูเหมือนสนิทแนบแน่นกับ คมช. ประสาคนรักกีฬาด้วยกัน และยังปรากฏกายข้ามฝั่งโขงอยู่เนือง ๆ
ส.มุ้งใหญ่ ประกาศรับร่างรัฐธรรมนูญไปแล้ว.. และเฮียกวง คือคนค้าขาย
จึงมีความเป็นไปได้น้อยมาก หากข่าวที่ว่า ที่มาของเงิน หมายถึง กาสิโนโกลเด้นไทรแองเกิ้ล พาราไดซ์รีสอร์ท เพราะ เฮียกวง วันนี้ แม้จะไม่ทิ้งสายสัมพันธ์กับบรรดานักการเมืองเลือดไทยรักไทยสายต่าง ๆ ในพื้นที่เสียทีเดียว
แต่ก็ให้น้ำหนัก ส.มุ้งใหญ่ อยู่เหนือ ยุทธ ตู้เย็น ลำดับหนึ่ง
ข่าวเงินล้มรัฐธรรมนูญจากบ่อนเชียงราย จึงมีน้ำหนักน้อยยิ่ง ... หากไม่มีการเอาคำถามยัดปากแล้วเอาไมโครโฟนจ่อ คงไม่เป็นกระแสขึ้นมาหรอก
............................
เรื่องเล่าต่อเนื่องจากบ่อนสามเหลี่ยมทองคำ อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องแรก
นอกจาก เฮียกวง จะมีธุรกิจอยู่ฝั่งโน้นแล้ว ก็ยังสนใจที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ฝั่งนี้ และเพิ่งเปิดธุรกิจใหม่ในฝั่งเชียงรายด้วย เพิ่งจะเปิดกิจการเมื่อปลายปี 2549 ช่วงรัฐประหารทักษิณใหม่ ๆ .. นั่นก็คือ
โรงรับจำนำ จำนวน 6 สาขา กระจายครอบคลุมพื้นที่สำคัญของเชียงราย
โรงรับจำนำในประเทศ กับ บ่อนกาสิโนนอกประเทศ เกี่ยวกันอย่างไร ? เป็นเรื่องลึกซึ้งของผู้ทำธุรกิจ คอลัมน์นี้หามีสติปัญญาจะเชื่อมโยงวินิฉัยเองได้ไม่ !!.. เอาเป็นว่าเขารักที่จะเปิด โรงรับจำนำ 6 แห่งก็แล้วกัน
ที่นักข่าวเอาไมค์ไปจ่อถาม มท. 1 – อารีย์ วงศ์อารยะ น่ะ- ถูกตัวแล้ว !!
เพราะคนที่เดินทางมาเชียงรายเป็นประธานเปิดธุรกิจใหม่-โรงรับจำนำ มีชื่อว่า
พงศ์โพยม วาศภูติ ปลัดกระทรวงมหาดไทย คนปัจจุบัน
มีพิธีเปิดใหญ่โตสมฐานะ ตรงกับ วันอาทิตย์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2549 หลังการรัฐประหารหมาด ๆ
ด้วยเพราะงานนี้เป็นธุรกิจร่วมด้วยช่วยกัน...เป็น โรงรับจำนำเอื้ออาทร ข่าวแจ้งว่า แม้กลุ่มเฮียกวงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ก็ปรากฏบรรดาผู้เคยกว้างขวางในพื้นที่ ทั้งราชการ ทั้งสีกากี ทั้งคนในแวดวงนักการเมือง ซึ่งเป็น เครือข่ายของอำนาจเดิม มา ร่วมหุ้น และช่วยเหลือ เป็นวงไพบูลย์ในกิจการค้าแห่งนี้อย่างคึกคัก อาทิ เช่น ว. อดีตนายอำเภอ - ภรรยาของ ว. ซึ่งถือกระเป๋าเงินเดินตามหลังนักการเมืองใหญ่ผู้นิราศร้าง –พ.ต.อ. ว. ที่เคยใหญ่ในพื้นที่อำเภอบ้านเกิดนักการเมืองใหญ่ประจำจังหวัด – พ.ต.อ. จ. ญาตินักการเมืองซึ่งเคยพัวพันการขนคนไปป่วนสวนลุมฯ – และนาย ม. นายอำเภออีกคน ฯลฯ
เป็น สัดส่วน ลงทุนของ กลุ่มใด เท่าไหร่ –ไม่ทราบได้!!
.............................
การเอาไมค์จ่อถาม มท.1 - อารีย์ วงศ์อารยะ น่ะถูกตัวแล้ว เพราะ มท.1 คงซักถามปลัดกระทรวงฯ - พงศ์โพยม วาศภูติ ได้โดยสะดวก ว่า รู้จักนายบ่อนชายแดนเชียงรายหรือไม่ ?
สถานะของเฮียกวงวันนี้ – มั่นคงแข็งแรงเห็นอนาคตหรือไม่ ขึ้นกับการเมืองภาพใหญ่เป็นองค์ประกอบสำคัญ..วิสัยพ่อค้าไม่ทะเลาะกับใครเรื่องการเมืองหรอก ยิ่งแนวโน้มอำนาจเก่าถูกไล่เช็กบิลไม่รู้อนาคตเช่นนี้ เป็นไปได้ยากที่จะเอาเงินสด เลือกข้างแทงแบบได้เสีย – ได้หมดตัก เสียหมดตูด
และที่สำคัญ “ส.ภาคเหนือ” คงไม่ยินดีด้วยอย่างแน่นอน !
คงเหลือเพียงเรื่องของ สมบัติ บางประการที่ รับฝาก ไว้ – รับดูแลให้
หากเจ้าของเก่าทวงคืนก็ต้องส่งคืนให้
ส่วน เขาจะเอาสมบัติที่ว่าไปทำอะไร .... เฮียกวงไม่เกี่ยว !
...........................
ขอปิดท้ายสั้น ๆ ณ ขณะที่ปิดต้นฉบับ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้บรรจุวาระ พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ.... เป็นลำดับที่ 6 ในวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ... กฎหมายถอยหลังเข้าคลอง ฉบับนี้ อ้างว่าเพื่อไม่ให้การจัดชุมนุมในที่สาธารณะ ไปละเมิดกระทบสิทธิ์ของผู้อื่นหรือสาธารณชนจึงจำเป็นต้องตราขึ้น
บังคับให้การจัดชุมนุมในที่สาธารณะต้องไปขออนุญาตจากเจ้าพนักงาน ..ถ้าสั่งเลิกต้องเลิก ...และกำหนดบทลงโทษเอาไว้ โทษสูงสุดจำคุก 3 ปี ปรับแสนบาท
มีรายละเอียดมากเนื้อที่ไม่พอ แต่หาก สนช. คำนูณ สิทธิสมาน ได้สิทธิลุกขึ้นอภิปราย น่าจะมีการนำเนื้อหาดังกล่าวถ่ายทอดมาให้ท่านผู้สนใจได้ในหน้าข่าวการเมือง ...
เอาสั้น ๆ เพียงว่า กฎหมายถอยหลังเข้าคลองฉบับนี้จะทำลายการปฏิรูปการเมืองและพัฒนาการประชาธิปไตยในระดับสำคัญ
และนี่คือตัวสกัดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของพลเมืองที่จะไป ต่อรอง-กดดัน-ผลักดัน นโยบายสาธารณะ ... ง่าย ๆ ให้เห็นรูปธรรมว่า หากบังเอิญมีกฎหมายนี้ในยุคทักษิณ ชินวัตร ป่านนี้แกนนำพันธมิตรคงอยู่ในคุกคนละ 3 ปีถ้วนหน้า...การต่อสู้ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยต้องเปิดช่องการต่อรองบนท้องถนนด้วย ..พูดอย่างกลาง ๆ ..หาใช่มองเฉพาะพันธมิตรฯ แม้แต่ นปก.เองก็ควรมีสิทธิ์ชุมนุมอย่างสงบ โดยปราศจากอาวุธ เช่นเดียวกัน.