xs
xsm
sm
md
lg

ปรับยุทธศาสตร์กลับสู่ชนบท – วาระแฝงตุนคะแนนเลือกตั้ง

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง


.
อย่างที่เคยบอกว่าสถานการณ์เปลี่ยนเร็ว พลิกผันได้ตลอด

อำนาจเก่า ถูกซัดหนักจนมึนงงระยะใหญ่ก็เริ่มตกผลึกในแนวทางยุทธศาสตร์ใหญ่

ไม่เอาแล้ว - ขับเคลื่อนมวลชนหลังวันยุบพรรค สู้เต็มตัว ได้ - เสีย หมดตัก

ไหนๆ ทักษิณ - พจมาน หนีไม่พ้นเจ็บแล้ว สู้ถอยแบบให้เจ็บตัวน้อยที่สุด.. ถนอมตนรอคอยจังหวะกลับมาหลังเลือกตั้งดีกว่า

ภาพรวมของสถานการณ์ถึงตอนนี้ ฟันธงได้ว่าไม่มีแล้วที่จะมีการปะทะกลางกรุง

ปัจจัยทั้งภายในภายนอก - เริ่มจากฝ่ายอำนาจปัจจุบัน เปิดไพ่ใบล่าสุดออกมา ร่นระยะเวลาเลือกตั้งเป็น 25 พฤศจิกายน นั่นหมายถึง การเร่งน้ำเหนือไหลบ่ามาท่วมป้อมค่ายของม็อบล้อมกรุงให้เร็วขึ้น

สถานการณ์งวดเต็มทีโดยมีคดีความอาญาซุกหุ้นภาค 2 เป็นหัวหอกอาวุธพลังสูงเป็นชนักที่ถอนยากเต็มที ยกเว้นกลับมามีอำนาจรัฐใหม่

เหมือนจนตรอกแต่ก็ยังไม่แพ้

ยังพอมีเวลาอย่างน้อย 4 เดือนนับจากนี้ ..นานพอที่จะเกิดเหตุพลิกผันใด ๆ ได้เสมอ

ยังมีอีกหลายด่าน ที่อำนาจรัฐปัจจุบันต้องฝ่าไปให้ถึงเป้าหมายเลือกตั้ง ขณะที่ฝ่ายอำนาจรัฐเก่ายังมองว่าด่านเหล่านั้นยังเป็นโอกาส...เพื่อก่อให้เกิดการพลิกสถานการณ์ขึ้นมา

มีเหตุการณ์ระยะ 48 ชั่วโมงที่ต้องพิจารณา 3 เรื่อง

เหตุการณ์แรก – คุณหญิงพจมาน ชินวัตร พยายามเบิกเงินสด 500 ล้านบาท โดยการส่งตัวแทนไปแลกตราสารฯ ปรากฏถูกดัดหลังให้แลกเป็นเช็คแทน ตัวแทนก็เลยไม่ดำเนินการ

บางคนมองว่า นี่เป็นสัญญาณถอยยาว ถึงขั้นปักหลักต่างประเทศเพราะครอบครัวชินวัตรไม่ต้องการเสี่ยงขึ้นศาล ก็ได้เหมือนกัน

แต่ที่สุดแล้ว สำหรับสถานการณ์ที่ยังมีเวลาพลิกเกมอีกอย่างน้อย 4 เดือนเช่นนี้ ยังมองได้อีกว่า การเก็บเงินสดทุกก้อนเอาไว้ในมือ เผื่อในอนาคตอันใกล้จะมียุทธการได้เสียอีกสักรอบ ก็มองได้เช่นเดียวกัน

อำนาจเก่ายังต้องใช้เงินจำนวนมากไปจนถึงการเลือกตั้งปลายปี เงินโอนนอกประเทศอาจมีปัญหา ดังนั้นหากมีช่องใช้เม็ดเงินสดในประเทศทุกก้อนให้เกิดประโยชน์ก็ควรทำ

เหตุการณ์ที่สอง – นายนพดล ปัทมะ ให้ข่าวว่า ต้องการให้ดีเอสไอ เดินทางไปสอบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ต่างประเทศ

แม้นายนพดล จะเคยพลาดมาหลายครั้ง แต่สำหรับนาทีนี้ หมากทุกตาน่าจะผ่านการกลั่นกรองจาก “กุนซือ” ตัวจริงมาพอสมควร และประเมินได้ว่า นี่เป็นแค่การโยนหินถามทาง

เพราะธรรมชาติการเดินหมาก หากมีตาให้เลือกมากขึ้นย่อมดีกว่าทางถูกบังคับเดิน

แต่ก็ยังยอมแบไพ่ บอกว่า จะมาเมื่อมีหมายศาล

ทักษิณ-พจมาน ทำใจแล้วว่างานนี้ต้องยอมเจ็บ ทนเจ็บตัวในเวลา 6 เดือนที่เหลือนี้

หากมีคำสั่งศาล - มาน่ะมาแน่ แต่หากจะมาต้องเก็บเกี่ยว...โดยเฉพาะการใช้สถานะเป็นผู้ถูกกระทำให้เกิดประโยชน์เก็บคะแนนเสียงตุนไว้..ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสประสาพ่อค้าเก่า

เหตุการณ์ที่สาม – ม็อบสนามหลวง ปรับยุทธศาสตร์สู่ชนบท

นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หากมองย้อนไปตั้งแต่วันเริ่มต้น

พวกเขาเตรียมการรุกด้วยมวลชนเต็มตัว

ตั้งแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ชูภาพ ม็อบประชาธิปไตยไล่เผด็จการ ส่งสัญญาณออกไปทั้งในและต่างประเทศ

ต่อมาก็ชูธง สันติ อหิงสา ใช้แนวรบข่าวสารฯ เป็นแนวรบหลัก ขยายฐานมวลชนเพื่อการเตรียมรุกด้วยมวลชนเต็มตัว

ส่งสัญญาณออกต่างประเทศ เดินสายให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศ

แต่ในประเทศ กลับไม่เป็นไปตามแผน

เพราะเป็นที่รู้กันว่า ม็อบสนามหลวงนั้น ..

“ใหญ่นอก-กลวงใน”

มีแต่ปริมาณ(ที่ใครก็รู้ว่ามาเพราะปัจจัยใด) ..ไม่มีคุณภาพ

แกนนำหวังใช้การอภิปราย ชักนำให้เกิดอุดมการณ์ร่วม และเป็นหัวเชื้อให้เกิดการขยายตัวในเชิงคุณภาพ ดึงมวลชนที่มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยแท้ ๆ หรือมีแนวร่วมชนชั้นกลางที่เป็นเนื้อเป็นหนังมาเสริมขบวน

10 วันผ่านไป – ไม่เกิดผลตามนั้น

ปริมาณผลาญท่อน้ำเลี้ยงไปเรื่อย ส่วนคุณภาพไม่บังเกิด ไม่มีใครสังฆกรรมด้วย

ขณะเดียวกัน ม็อบสนามหลวงเองก็รู้ว่า หากรักษาป้อมค่ายแบบนี้ แม้ปลอดภัยจริงแต่เนิ่นนานไปมีแต่รอคอยให้น้ำเหนือไหลท่วม

ในเมืองกรุงและชนชั้นกลางนั้นไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ไทยรักไทยคุ้นเคย

จึงนำมาสู่การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เดินสายไปยังฐานที่มั่นดั้งเดิมในชนบท

หันกลับไปสู่รากฐานคนรักแม้ว ซึ่งเป็นจุดแข็งดั้งเดิม - เป็นดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ใกล้งวดเช่นนี้

ในทางเปิด ก็คือ การตั้งเวทีด่า คมช. – กระตุ้นมวลชน

เปลี่ยนเป้าคุณภาพ หันมากระตุ้นปริมาณอย่างเต็มที่

แต่ในทางปิดที่เป็นวาระเบื้องหลังมิใช่การปลุกคนให้ไปตี คมช.หรอก !!

ยุทธศาสตร์ที่แท้จริงของการกลับสู่ชนบท ก็คือ การเริ่มตั้งเวทีหาเสียง


ได้ด่า คมช. และยังได้คะแนนเสียงในพื้นที่ตุนไว้ให้ ไทยรักไทย ที่ยังไม่รู้ว่าจะได้ชื่อพรรคเดิมหรือไม่

แนวรบการทหาร สู้ไม่ได้อยู่แล้ว ..แต่แนวรบเลือกตั้งไทยรักไทยไม่ได้กลัวทหารเลย

นาทีนี้ก็ได้เตรียมวางตัวหัวขบวนใหม่ไว้แล้วด้วย ให้ชัดเจนกันไปว่า ไทยรักไทยจะต้องนำโดยเครือข่ายว่านวงศ์ชินวัตรเท่านั้น

การกลับสู่ชนบทรอบนี้ จึงหมายถึง มวลชนรากฐาน ที่พร้อมแปรให้เป็นทั้งม็อบในบางขณะ และยังหมายถึง คะแนนเสียงในการเลือกตั้งปลายปีด้วย !!!

……….

ย้อนมาสู่ อำนาจรัฐปัจจุบัน ที่เริ่มขับเคลื่อนอย่างเต็มสูบตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน หลังวันตัดสินศาลรัฐธรรมนูญเป็นต้นมา

คำพูดแต่ละดอก แต่ละประโยคของ 2 แกนนำ คมช./รัฐบาล สื่อถึงการตอบโต้เต็มตัว

ทางหนึ่งคือเร่งเผด็จศึก อีกทางหนึ่งรู้ว่าเวลาเหลือน้อย

พร้อมกันนี้อาศัยจังหวะฝ่ายตรงข้ามอยู่ในมุมอับ เร่งปล่อย “วาระสำคัญ” ที่เตรียมเอาไว้มาตั้งแต่แรกออกมาในระยะนี้

“ร่าง พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ.......” ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนในวงการ เพราะรู้ตั้งแต่เริ่มว่า ทหารไม่พอใจรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ดึงอำนาจ กอ.รมน. ไป แถมยังปรับเปลี่ยน ลดอำนาจลงอีกด้วย

การปรับปรุง กอ.รมน. ให้เป็นองค์กรหลักนั้น เป็นกฎหมายที่ “เงื้อ” มาตั้งแต่ปลายปี 2549 แต่ก็ไม่ได้จังหวะ

เมื่อถึงเวลาได้จังหวะจึงคิดทบทั้งต้นทั้งดอก

ดึงอำนาจเดิมกลับมาอยู่ในมือ.. แถมพกด้วยอำนาจใหม่ ๆ เข้าไปด้วย

รู้ทั้งรู้ว่าต้องเจอเสียงโห่ !! และต้องถือว่านี่เป็นด่านสำคัญด่านหนึ่ง ที่ อำนาจรัฐปัจจุบันต้องเผชิญ

ไม่เพียงอำนาจรัฐเก่าเท่านั้น--ฝ่ายตรงกันข้ามกับระบอบทักษิณที่ไม่เอากฎหมายตัวนี้ก็มีเช่นกัน

กฎหมายนี้ เข้าข่าย ผลักมิตรให้เป็นศัตรู ..ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อพอดี

และที่สำคัญ ยังออกมาในช่วงเดียวกับกรณี “ม็อบพระ” ซึ่งกำลังจะรู้ผลหัว-ก้อย ในปลายเดือนมิถุนายนนี้

อย่าประมาทม็อบพระเป็นอันขาด..

เพราะ 3 เดือนมานี้มีการปูพื้นฐานในแนวรบข่าวสาร มีทั้งข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าวที่ผูกขึ้นดูเป็นเหตุเป็นผลว่าด้วย คนที่มีอำนาจกับศาสนาหนึ่ง ....แพร่กระจายออกไปทั่วโดยเฉพาะในชนบท

อย่าประมาทข่าวลือทีเดียว เพราะนี่เป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดในสงครามข่าวสาร

จึงเป็นเหตุให้ พล.อ.สนธิ ออกมาอธิบายเรื่องบรรพบุรุษ และการอธิบายว่าตนเองไม่มีเชื้อสายทางภาคใต้นั่นยังไง !

ทั้ง 2 เหตุการณ์ อาจจะลุกลามเป็นเหมือนโรคระบาดที่เกิดขึ้นในภายกรุงฯ ให้พวกล้อมเมืองกระหยิ่มเล่น

หากเป็นเช่นนั้นจริงจะเป็นผลมุมกลับ ยังผลดีให้กับฝ่ายอำนาจเก่า

และเป็นเครื่องชี้บ่งบอกว่าในระยะนับจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่เป็นด่านสำคัญอีกหลายด่านทำให้การเมืองพลิกผันไปมาได้

สำหรับนาทีนี้ - หาก อำนาจรัฐปัจจุบัน ยังถือโจทย์เก่า ยังเข้าใจว่า ฝ่ายอำนาจเก่า ยังคงเป้า ปะทะ โค่นล้ม เดินหน้ารุกด้วยมวลชนแบบได้เสีย – ยังมุ่งกระชับเครื่องมือทางอำนาจก็จะไม่ตรงกับเกมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

ด้วยเพราะอำนาจเก่าไม่ได้มุ่งปะทะเหมือนเป้าหมายเดิม - พวกเขายอมเจ็บ ยอมกลืนเลือด ประคองตัวเพื่อมุ่งเป้าหมายใหม่แล้ว

แค่พลิกวิธีคิด จากหมากที่ไม่มีอะไร กลายเป็นมีอะไรในทันที

ม็อบสนามหลวงที่เคยน่าตลกขบขันหลอกคนไปวัน ๆ ..เคยเป็นหมากไร้ประโยชน์ พลิกสถานะกลายเป็น หมากการเมืองตาใหม่ที่น่าจับตาในพื้นที่ดั้งเดิมไทยรักไทยขึ้นมาทันที

โจทย์เปลี่ยนไป – กุนซือใหญ่สั่งม็อบเบนเข็มกลับไปชนบทปลุกคนตุนคะแนนเลือกตั้ง ควบคู่กับการปลุกมวลชนเตรียมเผื่อต้องใช้ประโยชน์ในระยะ 4 เดือนที่พลิกผันนี้

ฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนรูปมวยแล้ว แต่ไม่แน่ว่าเกมจะเปลี่ยน ต้องรอดูว่าฝ่ายอำนาจรัฐจะแก้โจทย์ใหม่ในยกต่อไปอย่างไร ?

********

กำลังโหลดความคิดเห็น