อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ใช้วาจาหยาบคายสุดทนจนไม่เหลือความเป็นครู ระหว่างขึ้นเวที พีทีวี ปราศรัยด่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
การเห็นแย้ง หรือการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เป็นสิทธิที่ทำได้ในระบอบ ปชต.เห็นได้จากขณะนี้มีบุคคลบางกลุ่มที่มองต่างหรือไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของตุลาการ รธน.ในคดียุบพรรค แต่ “สิทธิ” ทุกอย่างก็ต้องมีขอบเขต ไม่ไปละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นเช่นกัน ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ พึงอยู่บนเหตุและผล มีหลักวิชาการรองรับหรืออ้างอิงได้ มิใช่ “เอามันส์” หรือ เอาแต่ “อารมณ์” เข้าว่า โดยไม่สนว่า ตนเองอยู่ในสถานภาพใด “ประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ” หรือ “ครูประทีป” กำลังเป็นตัวอย่างให้สังคมถามหาจรรยาบรรณในวิชาชีพ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
แม้ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายที่ได้เห็นบุคคลหลากหลายกลุ่มที่สนับสนุนทักษิณและพรรคไทยรักไทย หรือแม้แต่แกนนำในพรรคไทยรักไทยเองออกมาโวยวายตีโพยตีพายไม่ยอมรับคำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญที่มีมติเอกฉันท์ 9-0 ให้ยุบพรรคไทยรักไทย และมติ 6-3 ให้ตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบเป็นเวลา 5 ปี เพราะไม่ว่าใครก็คงไม่อยากเห็นพรรคของตัวเอง หรือพรรคที่ตัวเองชื่นชอบล้มหายตายจากไป แต่เรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายและยากที่จะรับได้ คือ พฤติกรรมและการแสดงออกของ ทรท.และแนวร่วมที่แสดงออกถึงความก้าวร้าวและดูหมิ่นตุลาการรัฐธรรมนูญอย่างไม่น่าให้อภัย
ตัวอย่างเช่น นายอดิศร เพียงเกษ อดีต ส.ส.ขอนแก่น และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่นอกจากกล่าวหาว่าคำตัดสินของตุลาการฯ ไม่ยุติธรรมแล้ว ยังพูดจาเสียดสีว่า คำวินิจฉัยของตุลาการฯ ยิ่งกว่าละครน้ำเน่าเรื่องแรมพิศวาสเสียอีก
หรือกรณีล่าสุด ที่ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกรัฐบาลทักษิณ และ 1 ในแกนนำพีทีวีที่ไม่เรียกตัวเองว่าพีทีวีแล้ว แต่เปลี่ยนเป็น “แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ” ได้พูดดิสเครดิตตุลาการรัฐธรรมนูญบนเวทีการชุมนุมเมื่อวานนี้ (7 มิ.ย.) ว่า ตุลาการฯ ไม่ใช่ศาล คนที่วิจารณ์ตุลาการจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นศาล แถมนายจักรภพ ยังกล่าวอ้างด้วยการดึง “สถาบันเบื้องสูง” มาเป็นเครื่องมือในการดิสเครดิตตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 โดยบอกว่า “ตุลาการฯ ชุดนี้ไม่เคยเข้าเฝ้าฯ เพราะไม่โปรดให้เข้าเฝ้า” และว่า “ตนทราบมาว่า ในวันที่ตุลาการศาลปกครองได้เข้าเฝ้าฯ (24 พ.ค.) มีความต้องการให้ตุลาการรัฐธรรมนูญเข้าเฝ้าฯ เพื่อรับฟังคำชี้แนะด้วย แต่ท่านก็ไม่โปรด จึงเปลี่ยนให้เป็นตุลาการศาลปกครองแทน” นายจักรภพ ยังขู่ด้วยว่า หากตุลาการรัฐธรรมนูญเอาโทษคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ จะยิ่งเป็นการเร่งให้เกิดสงครามระหว่าง “ขุนนางกับประชาชน”!?!
หรือกรณีที่มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกตัวเองว่า “กลุ่มแนวร่วมประชาชนต้านรัฐประหาร (นปตร.)” นำโดย นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และ “กลุ่มประชาธิปไตยไม่ใช่แค่กิ๊ก (กปก.)” ที่นำโดยนายธีรนัย จารุวัสตร์ นิสิตคณะอักษรศาสตร์ ปี 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันไปสร้างความปั่นป่วนดูหมิ่นตุลาการฯ ที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ (4 พ.ค.) โดยกล่าวหาว่า ตุลาการทั้ง 9 เป็นตุลาการเถื่อนที่มาจากการรัฐประหาร นอกจากไม่มีสิทธิตัดสินคดียุบพรรคแล้ว ยังวินิจฉัยด้วยความอคติ เลือกปฏิบัติ และยัดเยียดความผิดให้พรรคไทยรักไทย ไม่แค่นั้นกลุ่มดังกล่าว ยังชูป้ายตอกย้ำว่าเป็นตุลาการเถื่อน พร้อมแสดงละครล้อเลียนโดยให้ชายใส่ชุดทหารถือปืนจี้หัวตุลาการฯ ให้อ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรค
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าที่กลุ่มดังกล่าวจะไปสร้างความปั่นป่วนต่อตุลาการฯ ที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 4 มิ.ย.ปรากฏว่า ในคืนวันที่ 3 มิ.ย.นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ หรือ “ครูประทีป” อดีต ส.ว.กทม.และ 1 ในแกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตย ที่เคยฝากผลงานอื้อฉาวร่วมกับ นพ.เหวง โตจิราการ และ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ด้วยการเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมจากสนามหลวงไปโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่า สนับสนุนการรัฐประหารของ คมช.ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์เมื่อวันที่ 18 มี.ค.มาครั้งนี้ ครูประทีป ซึ่งอยู่ในอาการไม่พอใจคำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญที่ตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคฯ 111 คน เป็นเวลา 5 ปี ก็ได้โชว์ความรักที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ด้วยการด่าตุลาการอย่างหยาบคายบนเวทีพีทีวี พร้อมพูดจายั่วยุให้ประชาชนนำดอกไม้จัน-ไข่เน่า และอุจจาระอะไรก็ได้ไปโยนที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญในวันรุ่งขึ้น
แม้เป็นสิทธิที่ครูประทีปจะเลือกข้าง ว่า รักทักษิณ และไม่ต้องการ คมช.และครูประทีปก็มีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ แต่การวิพากษ์วิจารณ์นั้นควรอยู่บนเหตุและผลหรือมีหลักวิชาการมีหลักกฎหมายอ้างอิง มิใช่เอาแต่อารมณ์หรือพูดเอามันส์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ชนิดที่หลายๆ คนได้ฟังแล้ว ถึงกับอึ้งว่านี่หรือคือคำพูดของบุคคลที่ใครต่อใครให้เกียรติเรียกว่า “ครู” นี่หรือคือคำพูดของบุคคลที่เคยเป็นถึงอดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)!
ขนาดคอลัมนิสต์ “นงนุช สิงหเดชะ” ยังเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวานนี้ (7 มิ.ย.) โดยพูดถึงครูประทีป ตอนหนึ่งว่า “...ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เคยเป็นถึง ส.ว.เคยเป็นเอ็นจีโอน้ำดี จะมีพฤติกรรมการใช้คำพูดในลักษณะที่เป็นแบบอย่างไม่ดี ไม่เคารพองค์กรหลักของบ้านเมืองไปได้” คอลัมนิสต์นงนุช ยังแนะนำให้ตุลาการรัฐธรรมนูญลองหาเทปคำปราศรัยของครูประทีป เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.รวมทั้งคำปราศรัยของนายจักรภพ เพ็ญแข เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.มาฟัง หรือไม่ก็เอาข้อมูลจากหนังสือพิมพ์บางฉบับที่ได้มีการถ่ายทอดคำพูดของทั้งสองคนอย่างละเอียด มาพิจารณาว่าจะอยู่เฉยหรือเอาผิดดี!
ในชั้นนี้ ขอไม่พูดถึงคำปราศรัยของนายจักรภพ เพราะถึงนายจักรภพจะพูดจารุนแรง หยาบคาย หรือดูหมิ่นตุลาการฯ แค่ไหน ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะนายจักรภพเป็นคนของ ทรท.อยู่แล้ว และที่สำคัญ นายจักรภพ ก็ไม่เคยเป็น ส.ว.และไม่ได้มีสถานภาพเป็น “ครู” เหมือน “ครูประทีป” จึงไม่จำเป็นต้องให้ราคาหรือคาดหวังว่านายจักรภพจะต้องทำตัวดี-พูดดี หรือเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม
เมื่อกล่าวเฉพาะ ครูประทีป ลองมาฟังกันให้ชัดๆ อีกครั้งว่าเธอพูดอะไรบ้างในคืนนั้น และหยาบคายจนเกินรับได้จริงหรือไม่? ครูประทีป ออกตัวทันทีที่ขึ้นเวทีพีทีวี ว่า ตนไม่ใช่คนของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง พร้อมยืนยัน การมาร่วมชุมนุมปราศรัยก็เพื่อทวงถามประชาธิปไตยที่ถูกโจร คมช.ปล้นไป ครูประทีป ยังเยินยอแกนนำพีทีวีอย่าง วีระ มุสิกพงศ์ และ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ได้ร่วมต่อสู้ทวงคืนประชาธิปไตยจาก รสช.จนสำเร็จเมื่อ 15 ปีก่อน พร้อมกล่าวหา สมศักดิ์ โกศัยสุข และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ว่า กลายเป็นสมุนรับใช้ คมช.ไปแล้ว ถึงไม่มาร่วมทวงคืนประชาธิปไตยด้วยกัน
“ในสมัยตอน 15 ปีนั้น ยังจำได้ คุณวีระ มุสิกพงศ์ ซึ่งก็ยังนั่งอยู่ที่นี่ เป็นผู้ใหญ่ที่เราเคารพรัก อีกหลายคน คุณตู่ (จตุพร พรหมพันธุ์) อีกหลายคนที่ร่วมกันขับไล่ รสช.เรียกร้องประชาธิปไตยกลับมา แต่เราเองก็ยังเสียใจอยู่ว่า เพื่อนเราเมื่อ 15 ปีก่อนนั้น ไม่ว่าจะเป็นสมศักดิ์ โกศัยสุข, จำลอง ศรีเมือง 15 ปีเปลี่ยนไปได้อย่างไร การเรียกร้องประชาธิปไตยกลายเป็นสมุนรับใช้ คมช.มันเป็นไปได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่เราก็ยังหวังว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาจะมาร่วมกันขับไล่ คมช.ออกไป เพราะเขารู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนต้องการอีกต่อไปแล้ว ประชาชนต้องการทวงคืนประชาธิปไตยใช่มั้ย เราต้องการบอกว่า คมช.คุณหมดเวลาแล้ว คุณต้องออกไปได้แล้ว”
ครูประทีป ยังปราศรัยต่อว่า วันที่ 30 พ.ค.ตนฟังคำวินิจฉัยของตุลาการฯ แบบหลับๆ ตื่นๆ และมีคนโทรศัพท์มาร้องไห้กับตนว่า “ทำไมตุลาการตายไปแล้ว ทำไมพิพากษาบนพื้นฐานของอคติ ไร้ความเป็นธรรม ไร้หลักนิติธรรมใดๆ ซึ่งพ่อแม่พี่น้องทั่วโลกไม่ยอมรับว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญของประเทศไทยตัดสินชุ่ยๆ ออกไปได้อย่างไร” จากนั้น ครูประทีป ก็พูดด้วยอารมณ์ความรู้สึกของตนโดยกล่าวหาตุลาการฯ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ว่า เป็นพวกเผด็จการเอียงข้าง ตั้งธงยุบพรรคไทยรักไทยไว้แล้ว พร้อมประชดตุลาการฯ ว่า ในเมื่อตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคฯ 111 คน ทำไมไม่ตัดสิทธิสมาชิกไทยรักไทย 14 ล้านคนไปด้วยเลย
“เราเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ การที่มาบอกว่า อยากจะให้ประชาชนอยู่ด้วยความสงบสุข แต่ดูมันทำ ดูมันตัดสิน มันตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย ตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค 111 คน แล้วตอนนี้ทำไมมันไม่ตัดสินให้สมาชิกพรรคไทยรักไทย 14 ล้านคนหมดสิทธิลงเลือกตั้งไปด้วย มันน่าจะตัดสิทธิ ว่า ใครที่เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยอยู่ 14 ล้านคน ไม่ต้องไปลงคะแนนเลือกตั้งใครทั้งสิ้น ใช่ไม่ใช่ แล้วอย่างนี้มันมาเรียกร้องสมานฉันท์ ใครจะไปสมานฉันท์กับพ่อแม่มัน การตัดสินเมื่อ 2 พรรคมันมีปัญหา จริงๆ 5 พรรค แต่พรรคใหญ่ 2 พรรคมีปัญหา ตุลาการรัฐธรรมนูญพูดถึงประชาธิปัตย์ พยานของพรรคประชาธิปัตย์เพียงคนสองคน มันน่าเชื่อถือไปหมด แต่ของพรรคไทยรักไทยแก้ข้อกล่าวหาต่างๆ 14-15-16-20 ข้อกล่าวหาอะไรต่างๆ มีพยานหลักฐาน ดูมันเป็นเท็จไปหมด อย่างนี้สมานฉันท์ไปได้ยังไง เหมือนกับคุณมีธงมาตั้งอยู่แล้ว มึงจะพูดยังไงก็ตาม มึงจะอธิบายมายังไงก็ตาม กูจะยุบพรรคมึงให้ได้ แล้วมันจะสมานฉันท์ยังไง ในเมื่อหัวใจมันเนี่ย มันเป็นเผด็จการเอียงข้าง ใจของมันเอียงไปข้างหนึ่งแล้ว มันไม่ได้อยู่กับความเที่ยงธรรม และกฎหมายที่เอามาอ้าง ก็ไปอ้างคำสั่งของ คมช.ในเมื่อ คมช.มันมาจากการปล้นอำนาจของประชาชนไป คุณอ้างเอาคำพูดของโจร คำสั่งของโจร มาทำร้ายคนดี อย่างนี้สมานฉันท์หาพ่อหาแม่มึงเรอะ”
ครูประทีป ยังพูดปลุกระดมผู้ชุมนุมกลุ่มพีทีวีด้วยว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญเป็นสมุน โจร คือ คมช.ดังนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนนำไข่เน่าหรืออุจจาระอะไรก็ได้ไปโยนที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญในวันรุ่งขึ้น (4 มิ.ย.)
“เราคิดดูว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญมาจากไหน มาจากใครแต่งตั้ง คมช. คมช.มันมาจากไหน มันมาจากการปล้นอำนาจของประชาชนไปใช่มั้ย มันเป็นโจรใช่มั้ย แล้วตุลาการรัฐธรรมนูญมันมาจากโจร มันต้องเป็นสมุนโจรสิวะพ่อแม่พี่น้อง เมื่อมันเป็นสมุนโจร คำวินิจฉัยของมันก็ต้องเป็นคำของโจร แล้วเราจะยอมรับโจรหรือเปล่า ไม่ยอม เราก็ต้องไปประท้วง พรุ่งนี้ (4 มิ.ย.) เวลา 09.00 น.เราไปอีกนิดเดียวนะ ตรงใกล้ๆ กับสะพานพุทธ พรุ่งนี้จะมีคนเขานำดอกไม้ไปให้ แต่ไม่ใช่ดอกไม้พวงมาลัยหอมหวน ซึ่งมีประชาชนให้ อย่างนี้ไม่ใช่ เขาจะเอาดอกไม้จันน่ะไปให้ แล้ววันนี้ถ้าหากพ่อแม่พี่น้องประชาชนจะถือไข่เน่าไปด้วย เอาไปโยนแถวนั้นน่ะนะ ถ้าหากเทศกิจมาจับก็เสีย 500 บาท เตรียมเอาไว้ ยอมไม่ยอม ยอม เราสู้เพื่อชีวิต ด้วยชีวิต สู้ด้วยอุดมการณ์ แค่ 500 บาท เอาไข่เน่าไปโยนตรงนั้นจะเป็นไรไป จริงไม่จริง ใครมีไข่เน่าเท่าไหร่ ก็หยิบไป ใครมีอุจจาระหมาก็หยิบไป ใครมีอุจจาระอะไรทั้งหลาย น้ำเน่า ถ้าไม่มี เอาน้ำเน่า ก๊อกของ กทม.ก็เอาไปได้ เอาใส่ถุงไปเลยนะ ผูกโบว์ให้ดี พอไปถึง เราก็วางมันแรงๆ ไม่ได้ปานะ วางมันแรงๆ ให้มันแตกกระจายไป ดีไม่ดีพ่อแม่พี่น้อง”
นอกจากครูประทีปจะกล่าวหาตุลาการรัฐธรรมนูญด้วยถ้อยคำหยาบคายแล้ว ครูประทีปยังพูดชื่นชมนโยบายและผลงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย เช่น การปราบปรามยาเสพติดได้ผล (แต่ไม่พูดเรื่องที่สังคมกังขากรณีฆ่าตัดตอนหลายพันศพจากการที่รัฐบาลทักษิณประกาศทำสงครามกับยาเสพติด), เรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรค และเรื่องหวยบนดิน ครูประทีปยังแสดงความข้องใจว่า นโยบายประชานิยมของรัฐบาลทักษิณมันเลวตรงไหน ที่ทำให้คนยากจนมีโอกาสเท่าเทียมกับคนรวยบ้าง!?!
ลองไปดูปฏิกิริยาจากบางฝ่ายที่ได้ฟังครูประทีปปราศรัยด่าตุลาการรัฐธรรมนูญว่า จะรู้สึกอย่างไร? นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็น 1 ในกลุ่มประชาชนผู้รักชาติและความถูกต้อง บอกว่า ในระบอบประชาธิปไตยนั้น เราต้องทนฟังคนที่เห็นแย้งกับเรา แต่การวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยของตุลาการฯ ของครูประทีปนั้น นอกจากจะไม่ได้อาศัยหลักวิชาใดๆ และผู้พูดก็ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายแล้ว ยังใช้ถ้อยคำที่หยาบคายสุดทน จนไม่เหลือความเป็น “ครู” อยู่เลย
“เรารู้ว่าเขาไม่ได้มีหลักวิชาอะไรเลย คือ ตั้งธงว่า ไม่ชอบที่ (ตุลาการฯ) ตัดสินแบบนี้ แล้วค่อยหาเหตุตีรวน มันจะผิดกับคนที่รู้กฎหมาย คือถ้าคนที่รู้กฎหมาย เขาบอกว่าหลักอย่างนั้นหลักอย่างนี้ และพูดด้วยความสุภาพ อันนี้รับได้ อย่าง 5 อาจารย์ธรรมศาสตร์ เราก็รู้ว่าเขาตั้งธงไว้ก่อนว่าจะคัดค้าน (การตัดสิทธิฯ 5 ปีย้อนหลัง) แต่เขาก็เลือกวิธีพรีเซนต์ (นำเสนอ) ได้ดี แต่อันนี้ (ครูประทีป) คุณวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเจตนาสุจริตจริงหรือเปล่า หรือต้องการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อช่วยเหลือคนที่คุณเทิดทูนสนับสนุนอยู่ นี่คือ ประเด็นหลัก 2.วิธีการที่คุณใช้นี่มันหยาบคายสุดจะทน มันผิดวัฒนธรรมไทยน่ะ ผมจะอัดนายกฯ หรืออัด คมช.หรือแม้กระทั่งด่าทักษิณ ผมยังไม่เคยใช้คำพูดขนาดนี้ (ถาม-เหมือนกับลืมสถานภาพตัวเองไปเลย?) ใช่ คือ เหมือนกับต้องการจะให้แบบว่า เว่อร์ๆ แบบว่าฉันนี่ด่า (ตุลาการฯ) ได้เต็มที่ เหมือนจะขึ้นค่าตัวตัวเองหรืออะไรที่แบบ ถ้าเกิดจะให้ฉันร้าย ฉันก็ร้ายได้ รับใช้เต็มที่ ไม่รู้นะ ผมฟังดู เขาไม่ได้เจตนาจะวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต เขามีอคติส่วนตัวอยู่แล้ว และต้องการที่จะช่วยเหลือคนที่ตัวเองสนับสนุนอย่างไม่ลืมหูลืมตามากกว่า โดยที่เขาก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องกฎหมายเลย ผมว่ามันหมดความเป็นครูไปเลยน่ะ มารยาทมันไม่รู้อยู่ตรงไหน จรรยามารยาทนี่ โอ้โห! แบบ.. คือ เนื้อหาเรื่องความขัดแย้งเราต้องยอมรับนะ ประชาธิปไตยนี่ ต้องยอมต้องทนฟังคนที่ขัดแย้งกับเรา ทนฟังเนื้อหาที่ขัดแย้งนั้น แต่เราจะไม่ทนฟังกับคนที่หยาบคายน่ะ หยาบคายและไร้วัฒนธรรมนี่ ผมว่ามันไม่ถูกแล้ว”
ด้าน สมศักดิ์ โกศัยสุข ที่ปรึกษาสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์, ประธานที่ปรึกษาสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถูกครูประทีปอ้างถึงโดยกล่าวหาว่า เปลี่ยนไป ไม่มาร่วมทวงคืนประชาธิปไตยเหมือนเมื่อปี ’35 เพราะกลายเป็นสมุน คมช.ไปแล้ว ก็ยืนยันว่า สถานการณ์ขณะนี้ต่างจากสมัย รสช.เมื่อปี ’35 อย่างสิ้นเชิง โดยตอนนั้นมีการสืบทอดอำนาจของ รสช.อย่างชัดเจน แต่ขณะนี้ไม่ใช่ เพราะ คมช.และรัฐบาลประกาศชัดเจนแล้วว่า จะคืนอำนาจเมื่อไหร่ และว่า ถ้าครูประทีป มองว่า ขณะนี้เป็นเผด็จการ แต่สมัยทักษิณเป็นประชาธิปไตยก็ไม่ถูก เพราะรัฐบาลทักษิณก็เป็นเผด็จการทุนนิยม ที่ยัดเงินให้ประชาชนผ่านนโยบายประชานิยม แต่สุดท้ายเงินนั้นก็กลับเข้ากระเป๋าคนรวย ส่วนคนจนก็มีหนี้สินเพิ่มขึ้น
“การช่วยคนจน (ของรัฐบาลทักษิณ) มันเป็นเรื่องที่โกหก หนี้สินเพิ่มขึ้น ตัวเลขก็มีนะ ตัวเลขเมื่อปี ’45 (แต่ละครอบครัวมีหนี้สิน) ครอบครัวละ 7 หมื่นกว่าบาท พอปี ’49 เพิ่มมาเป็น 1 แสน 4 หมื่นบาทต่อครอบครัว หนี้เพิ่มขึ้นตั้งครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนจนจะดีขึ้นได้ยังไง (รัฐบาลทักษิณ) เอาเงินยัดไป สุดท้ายเงินก็กลับมาที่คนรวย นั่นเป็นวิธีที่เขาเรียกว่า “ประชานิยม” พูดกันมานานแล้ว แต่ความจริงแล้วคนจนไม่ได้ประโยชน์ ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยนี่ห่างขึ้น เราต้องมองว่า การทุจริตการไม่เสียภาษีต่างๆ (ในสมัยรัฐบาลทักษิณ) ผมว่าคนเขาเห็นกันหมดน่ะ นอกจากว่าเราจะมืดบอดสนิท การชั่งน้ำหนักระหว่างสิ่งที่เขาทำถูกต้องกับไม่ถูกต้อง ลองมาวัดกันดูซิว่า มันมากมายขนาดไหน ฉะนั้น พวกเราเนี่ยต่อสู้เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ประเทศชาติได้ประโยชน์ พวกเราไม่ได้อะไร แต่ถ้าไปเข้าข้างรัฐบาลที่ผ่านมา เท่ากับช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของทักษิณนะ ตรงนี้มันพิสูจน์ได้ง่ายมาก ว่าใครคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม ใครยืนอยู่กับประโยชน์ของบุคคล หรือใครสนับสนุนให้มีการโกงการทุจริต ทำไมไม่พูดเรื่องการโกงการทุจริต (ของรัฐบาลทักษิณ) กันบ้างว่ามันเป็นยังไง ประชาธิปไตยมันหมายถึงคนส่วนใหญ่ ถ้าเอาทรัพย์สินไปกระจุกอยู่กับคนๆ เดียวตระกูลเดียว แล้วคนส่วนใหญ่ยากจน อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่ใช่ประชาธิปไตย ต่อให้มีการเลือกตั้งอย่างไรก็ตาม นี่ล่ะที่ผมบอกว่า คนบางทีก็ไม่ได้รู้เรื่องประชาธิปไตย แล้วก็ไปพูดให้คนสับสน ไปตีความว่าการเลือกตั้งแล้วเป็นประชาธิปไตย การเลือกตั้งนั้นเป็นวิธีการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งแล้ว เมื่อได้อำนาจรัฐ การเลือกตั้งที่ไม่ถูกต้องฉ้อฉล มันก็เป็นเผด็จการ แต่เผด็จการที่ใช้เงินเป็นอาวุธ จะต่างกับเผด็จการทหารที่ใช้ปืน และเมื่อเป็นเผด็จการด้วยกัน มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นเผด็จการเพื่อประชาชน ใครจะเป็นเผด็จการเพื่อตัวเอง”
นายสมศักดิ์ บอกด้วยว่า จากที่เคยต่อสู้ร่วมกันมาสมัย รสช.เมื่อปี ’35 ตนไม่รู้ว่า วันนี้ครูประทีปเปลี่ยนไป หรือตนไม่รู้จักตัวตนครูประทีปตั้งแต่แรก รู้แต่ว่า ตอนที่ครูประทีปยังเป็น ส.ว.อยู่ มี ส.ว.บางคนมาเล่าให้ตนฟังว่า เวลาจะมีการลงชื่อเพื่อตรวจสอบรัฐบาลทักษิณ ครูประทีปจะไม่ค่อยอยู่ไม่ค่อยร่วมลงนาม อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์ บอกว่า ตนไม่อยากวิจารณ์ใคร แต่อยากให้ทุกอย่างยุติที่ศาล อยากให้ทุกคนเคารพคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ เพราะระบอบประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนเขาคัดค้านคำพิพากษาของศาล ขนาดเมื่อครั้งคดีซุกหุ้น ตุลาการฯ เสียงข้างมากชนะเสียงข้างน้อยแค่ 1 เสียงให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รอดคดีซุกหุ้น ยังยอมรับคำตัดสินนั้นได้ แล้วทำไมตอนนี้ตุลาการฯ เสียงเป็นเอกฉันท์ 9-0 ให้ยุบพรรคไทยรักไทย และเสียงข้างมากตั้ง 6-3 ให้ตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 5 ปี ถึงไม่ยอมรับคำตัดสินกัน ดังนั้น ตนอยากให้ประชาชนพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น และอยากให้ครูประทีป ลองนั่งสมาธิทบทวนดูว่าอะไรเป็นอะไร
ทั้งนี้ จากการสอบถามอดีตเพื่อน ส.ว.ของครูประทีปบางคน ถึงบุคลิกและตัวตนของครูประทีปว่ามีอุปนิสัยอย่างไร น่าจะเคลื่อนไหวต้าน คมช.และหนุน พ.ต.ท.ทักษิณ-พรรคไทยรักไทยด้วยใจบริสุทธิ์หรือไม่? ปรากฏว่า อดีต ส.ว.คนหนึ่ง (ไม่ขอออกนาม) ซึ่งรู้จักครูประทีปดี บอกว่า ไม่รู้สึกแปลกใจที่ครูประทีปปราศรัยหนุนรัฐบาลทักษิณ และต่อต้าน คมช.พร้อมด่าตุลาการรัฐธรรมนูญด้วยถ้อยคำหยาบคาย เพราะ 6 ปีกว่าที่ได้ร่วมทำงานกันมาในวุฒิสภา ส.ว.หลายคนต่างรู้จักครูประทีป ดีว่า เป็นคนที่ชอบวิ่งเข้าหาอำนาจ และปฏิเสธไม่ได้ว่า ในสมัยรัฐบาลทักษิณ “มูลนิธิดวงประทีป”ของครูประทีป ก็ได้รับอานิสงส์จากเงินงบประมาณที่รัฐบาลทักษิณมอบให้กับองค์กรและมูลนิธิต่างๆ ด้วยเช่นกัน โดยมีการพูดกันถึงขนาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีหุ้นอยู่ในมูลนิธิดวงประทีปด้วย จึงคิดว่า ท่าทีและการเคลื่อนไหวของครูประทีปน่าจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและองค์กรของตนเองมากกว่า ไม่ได้เป็นนักสู้เพื่อประชาชน หรือประชาธิปไตยอย่างที่ใครหลายๆ คนคิด และที่สำคัญ คิดว่าผลประโยชน์ที่ครูประทีปได้จากรัฐบาลทักษิณ ต้องมากพอ ไม่เช่นนั้นสังคมคงไม่ได้เห็นครูประทีป รีบปฏิเสธตำแหน่ง “ที่ปรึกษา คมช.” ทันทีที่ถูกทาบทาม!!