“โฆษกอัยการ” จี้ กกต.เอาผิดอาญากรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบ พร้อมเตรียมเข้ารับคำวินิจฉัยกลางจากตุลาการรัฐธรรมนูญ พรุ่งนี้ (1 มิ.ย.) เพื่อเสนออัยการสูงสุดพิจารณา ก่อนส่งมอบให้นายทะเบียนพรรคดำเนินการตามคำวินิจฉัย
วันนี้ (31 พ.ค.) นายอรรถพล ใหญ่สว่าง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงขั้นตอนภายหลังตุลาการรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า พรรคพลังแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทยว่า ในวันพรุ่งนี้ (1 มิ.ย.) เวลา 13.00 น.ตนในฐานะผู้ร้องคดีดังกล่าวจะเข้าติดต่อรับคำวินิจฉัยกลางคดียุบพรรค และในวันอังคารที่ 5 มิ.ย.นี้ จะเข้ารับคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน เพื่อเสนอให้นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดพิจารณา ก่อนส่งมอบคำวินิจฉัยทั้งหมดให้กับนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองทราบตามขั้นตอน เพื่อปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญต่อไป
นายอรรถพล กล่าวด้วยว่า ส่วนจะต้องมีการดำเนินคดีทางอาญากับผู้บริหารพรรคการเมืองในส่วนอื่นหรือไม่ นายทะเบียนพรรคการเมือง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องกลับไปย้อนดูเนื้อหาในคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ ว่า ข้อเท็จจริงมีพฤติการณ์ที่กรรมการผู้บริหารพรรคใด ได้กระทำผิดในส่วนอื่นที่กฎหมายได้กำหนดไว้เป็นโทษทางอาญาหรือไม่ โดยนายทะเบียน และ กกต.จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป หากพบว่ากรรมการบริหารพรรคกระทำผิดในส่วนอื่นที่มีโทษทางอาญาด้วย แต่ไม่ใช่ว่านายทะเบียนพรรคการเมือง และ กกต.จะสามารถอ้างผลคำวินิจฉัยของคณะตุลาการฯ ที่มีคำสั่งให้ยุบพรรค เพื่อจะดำเนินคดีอาญากับผู้บริหารพรรคได้ทันที โดยปราศจากพยานหลักฐาน
นายอรรถพล กล่าวว่า ลำดับแรก เมื่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยยุบพรรคออกมาแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมือง และ กกต.ต้องปฏิบัติตามผลคำวินิจฉัย คือ 1.การชำระบัญชีพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรค และการเตรียมการจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่ 2.การจัดทำบัญชี กรรมการผู้บริหารพรรคการเมืองทั้ง 4 พรรคที่ถูกยุบ ประกอบด้วย กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย จำนวน 111 คน, พรรคพลังแผ่นดินไทย 3 คน และพรรคพัฒนาชาติไทย 19 คน และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า 9 คน ที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิการเมืองกรรมการผู้บริหารพรรค เป็นเวลา 5 ปี
3.การตรวจดูเนื้อหาคำวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญ ว่า มีการพิเคราะห์พฤติการของกรรมการผู้บริหารพรรคว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา หรือ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.พ.ศ.2541 และ พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 อีกหรือไม่ ที่อยู่ในอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมือง และ กกต.ที่จะดำเนินการใดๆ โดยตรงได้ด้วยตนเอง หรือเป็นเรื่องที่นายทะเบียนพรรคการเมือง และ กกต.จะต้องนำคดีเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน และสรุปสำนวนส่งให้อัยการ ดำเนินการฟ้องคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป