xs
xsm
sm
md
lg

ทรท.ตายยกเข่ง! สั่งยุบพรรค-ตัดสิทธิ กก.บห.5 ปี 111 คน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ไทยรักไทยผิดฉกรรจ์ ตายยกเข่ง ถูกศาล รธน.สั่งยุบพรรคพร้อมเพิกถอนสิทธิการเมืองกรรมการบริหารทั้งกระบิ 111 คน จำนวน 5 ปี ขณะเดียวกัน สั่งยุบพรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคแผ่นดินไทย โดยเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง กก.บห.19 และ 3 คนตามลำดับ

วันที่ 30 พ.ค. เวลา 18.15 น. คณะตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนนำโดยนาย ปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกาในฐานะประธานคณะตุลาการออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้องในกลุ่มคดีที่ 1 ที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้พิจารณาสั่งยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทยเนื่องจากกระทำผิดมาตรา 66( 1) และ(3) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 โดยจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยแกนนำพรรคไทยรักไทยนำโดย นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นาย พงษ์เทพ เทพกาญจนา หัวหน้าคณะสู้คดียุบพรรคและสมาชิกพรรค พร้อมด้วยนายบุญญาบารมีพล ชินราช หัวหน้าพรรคแผ่นดินไทย นาย สุรชัย ชินชัย ทนายความพรรคพัฒนาชาติไทยและเข้ารับฟังคำวินิจฉัยด้วยโดยต่างก็มีสีหน้าไม่สู้ดี เนื่องจากเป็นการฟังหลังทราบว่าคณะตุลาการฯมีคำวินิจฉัยยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์

การอ่านคำวินิจฉัยในกลุ่มคดีนี้ นายวิชัย ชื่นชมพูนุท นายธานิศ เกศวพิทักษ์ และม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการรัฐธรรมนูญได้ผลัดกันอ่าน รวมเวลาทั้งสิ้น 5 ชั่วโมงเศษ

ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของคณะตุลาการได้มีการวินิจฉัยในประเด็นที่พรรคไทยรักไทยยกขึ้นสู้ คือ 1.กรณีร้องว่า คณะตุลาการไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้อง เห็นว่า มีอำนาจเพราะแม้รัฐธรรมนูญ 2540 ถูกยกเลิกไป ศาลรัฐธรรมนูญถูกยุบจากประกาศ คปค.ฉบับที่ 3 แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2549 มาตรา 35 วรรค 1 ก็ให้มีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญขึ้นมา และวรรค 4 ให้โอนอรรถคดีที่ค้างในศาลรัฐธรรมนูญมาให้อยู่ในการพิจารณาของคณะตุลาการ และแม้ว่าการกล่าวอ้างของพรรคไทยรักไทยว่าคณะตุลาการไม่มีสิทธิพิจารณาคดีเพราะไม่ใช่ศาลและขัดกับหลักนิติรัฐนั้น พิจารณาว่ามาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดให้คณะตุลาการมาจากผู้พิพากษาศาลฎีกาและตุลาการศาลปกครอง ซึ่งทำหน้าที่ตุลาการในพระปรมาภิไธยมาโดยตลอด อีกทั้งกระบวนการพิจารณากระทำอย่างเปิดเผย ให้โอกาสผู้ถูกร้องชี้แจงในทุกประเด็น ดังนั้นการที่ตุลาการพิจารณาคดีดังกล่าวจึงไม่ขัดกับหลักนิติรัฐ

2.กรณีร้องว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร้องต่อ กกต.นั้นไม่ใช่ผู้เสียหายอันขัดกับระเบียบของการร้องเรียนของ กกต.นั้น พิจารณาแล้วว่ามาตรา 67 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ให้อำนาจนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคในกรณีที่รู้ว่าคณะกรรมการบริหารพรรคดำเนินการผิดมาตรา 66 ของ พ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน ดังนั้นการที่ผู้ร้องเรียนเป็นผู้เสียหายหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

3.ข้อกล่าวอ้างว่าการยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดของ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ไม่ถูกต้องเพราะไม่ผ่านมติของ กกต.อันขัดกับ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ระบุว่าคำวินิจฉัยของ กกต.ต้องออกเป็นมตินั้น เห็นว่าการยื่นเรื่องยุบพรรคให้อัยการสูงสุดพิจารณาเป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองตามมาตรา 67 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ไม่ใช่อำนาจ กกต. ดังนั้นการที่ไม่มีการนำเรื่องดังกล่าวเสนอที่ประชุมเป็นออกมตินั้นจึงไม่การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

4. กรณีร้องว่ารัฐธรรมนูญปี 2540 ทำให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และพ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.สิ้นสุดลง ดังนั้นความผิดตาม พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับจึงนำมากล่าวอ้างเป็นเสนอยุบพรรคไม่ได้ เห็นว่า สภาพ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญของไทยมีลักษณะเป็น พ.ร.บ.ทั่วไป จึงไม่สิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญ การจะยกเลิกมีได้ 2 อย่าง คือ การออก พ.ร.บ.ใหม่ หรือการประกาศยกเลิก และเมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหาร คปค.ก็ไม่มีคำสั่งยกเลิกหรือออกกฎหมายใหม่มาแทน พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับแทน จึงยังถือว่ามีผลใช้บังคับอยู่

5.กรณีร้องว่ามาตรา 66 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 29 เนื่องจากเป็นการเพิ่มสาเหตุยุบพรรคขึ้นเพิ่มเติมโดยไม่ชอบตามรัฐธรรมนูญนั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 29 ระบุว่าการละเมิดสิทธิเสรีภาพกระทำไม่ได้นั้น เมือพิจารณารัฐธรรมนูญ 40 มาตรา 320 ที่ไม่ให้ถือการไม่ส่งผู้สมัครลงสมัครเป็นเหตุยุบพรรค แสดงว่ารัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้ฝ่ายนิติบัญญัติสามาระตรากฎหมายลงโทษพรรคการเมืองได้ แต่ไม่ให้นำเหตุการณ์ไม่ส่งผู้สมัครมาเป็นสาเหตุ ไม่ใช่ห้ามตรากฎหมายลงโทษแม้ว่าจะมีการกระทำผิดร้ายแรงอย่างไรก็ตาม มาตรา 66 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ไม่ใช่การจำกัดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และไม่เกินกว่าความเป็นจริง มาตราดังกล่าว จึงไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ

6.กรณีร้องว่า มาตรา 67 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 63 หรือไม่ ทั้ง 2 ส่วนเป็นคนละกรณีกัน ซึ่งตามวรรค 2 และ 3 ในมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้อยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งเตือนให้หยุดการกระทำก่อน

7.กรณีร้องว่า ศาลรัฐธรรมนูญสั่งเพิกถอนการเลือกตั้ง 2 เม.ย.49 จึงไม่อาจนำความผิดที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งดังกล่าวมาร้องยุบพรรคได้ เห็นว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญสั่งเพิกถอนการเลือกตั้ง 2 เม.ย.มาจากเหตุการณ์การเลือกตั้งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่ความผิดที่มีการร้องให้ยุบพรรคนั้นเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง จึงถือว่าเป็นคนละส่วนกัน

8.กรณีร้องว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ร่วมมือกับนาย ชวการ โตสวัสดิ์ ผู้ประสานงานจ้างพรรคเล็ก นายสุขสันต์ ชัยเทศ ผอ.พรรคพัฒนาชาติไทยนาย อมรวิทย์ สุวรรณผา เจ้าหน้าที่ฝ่ายคอมพิวเตอร์ แก้ไขฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทยเพื่อให้มีคุณสมบัติในการลงสมัครหรือไม่ รวมทั้ง พล.อ.ธรรมรักษ์มีการจ่ายเงินให้กับผู้สมัครพรรคเล็กเพื่อลงสมัครหรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงและการเบิกความของพยานมีความสอดคล้องกันอย่างมีเหตุผล เชื่อได้ว่านายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ หัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทยร่วมมือกับนายสุขสันต์ นายอมรวิทย์ แก้ไขฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคจริง และมีการให้นายสุขสันต์ นายชวการไปดำเนินการในการหาผู้สมัครจำนวน 33 คน รวมทั้งใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลสมาชิก โดยลงในพื้นที่ภาคใต้ถึง 25 คน เจือสมกับคำให้การนายชวการ รวมทั้งแผนผังในห้องประชุมที่เจอกับ พล.อ.ธรรมรักษ์ก็ถูกต้องเกินกว่าที่นายชวการจะสร้างเรื่องขึ้นได้

อีกทั้งนายบุญทวีศักดิ์ ก็ระบุว่าพรรคพัฒนาชาติไทยไม่มีเงิน อีกทั้งเงินที่ใส่ซองจำนวน 38 ซองๆ ละ 2 หมื่นบาท รวมเป็นเงิน 7 แสน 6 หมื่นบาท ที่โรงแรมกานต์มณีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของผู้ที่จะลงสมัครเป็นเงินจำนวนมาก จึงเชื่อว่าเป็นเงินที่นายทวี สุรรณพัฒน์ ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ธรรมรักษ์ ให้มาดำเนินการจัดหาผู้สมัคร และยังปรากฏหลักฐานมีการโอนเงิน 1.4 แสนบาทเข้าบัญชีของนายสุขสันต์ที่ จ.นครพนมจริง จึงฟังไม่ขึ้นว่าพยานทั้งหมดจะร่วมมือกันใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย

สำหรับในประเด็นการออกหนังสือของนายบุญญาบารมีพล ชินราช หัวหน้าพรรคแผ่นดินไทย ที่ออกหนังสือรับรองการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อให้ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าผู้สมัครที่ออกหนังสือให้มีคุณสมบัติไม่ครบการเป็นสมาชิกพรรคไม่ครบ 90 วัน จึงเชื่อว่าการออกหนังสือรับรองสมาชิกพรรคเป็นเท็จ ส่วนกรณีที่นาง ฐัติมา ภาวลี กลับคำให้การภายหลังจากที่เคยให้ปากคำกับอนุกรรมการสอบสวนกกต. และไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่กองปราบนั้นฟังไม่ขึ้น ว่าเป็นการกักขังหน่วงเหนียวและไม่ได้รับเงินจากพรรคไทยรักไทย เนื่องจากมีพยานหลักฐานชัดเจนว่ามีการจ่ายเงินให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไปลงสมัครรับเลือกตั้ง

ส่วนประเด็นที่ร้องว่าการกระทำของพล.อ.ธรรมรักษ์ และนายพงษ์ศักดิ์ นั้นเป็นการกระทำส่วนตัวพรรคไม่มีส่าวนเกี่ยวข้อง และพรรคไม่ได้ประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ส่งผู้สมัคร การเลือกตั้ง 2 เม.ย.2549 พรรคยอมได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอยู่แล้วนั้น เห็นว่า ในสถานการณ์การเมืองในการยุบสภาที่ 3 พรรคใหญ่ไม่ส่งผู้สมัคร แม้พรรคไทยรักไทยจะมีโอกาสชนะการเลือกตั้งแต่ก็มีปัญหาที่มาตรา 74 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง กำหนดให้หากเขตใดมีผู้สมัครเพียงคนเดียวต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งหากไม่ได้ตามจำนวนที่กำหนดก็ต้องสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจากข้อมูลเลือกตั้งปี 2548 มี 90 เขต ที่ผู้สมัครของฝ่ายค้านได้รับเลือกตั้งโดยในจำนวนนี้มี 37 เขตที่ผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยได้คะแนนมาไม่ถึงร้อยละ 20 ประกอบกับรัฐธรรมนูญมาตรา 140 กำหนดให้ต้องมีการประชุมสภานัดแรกภายใน 30 วันนับแต่วันเลือกตั้ง และศาลรัฐธรรมนูญเคยตีความไว้หากมี ส.ว.ไม่ครบ 200 คนเปิดประชุมสภาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้หากมีการเลือกตั้งและผู้สมัครคนเดียวของเขตเลือกตั้งนั้นไม่ได้รับการเลือกตั้ง การเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณก็ยิ่งล่าช้าออกไป ซึ่งพล.อ.ธรรมรักษ์ และนายพงษ์ศักดิ์ ยอมรู้ถึงเหตุการณ์ ดั้งกล่าวจึงไม่อยากให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น

ขณะเดียวกับบุคคลทั้ง 2 เป็นรองหัวหน้าพรรค มีตำแหน่งทางการเมืองเป็นรมว.กลาโหม และรมว.คมนาคม แสดงให้เห็นว่าบุคคลทั้ง 2 เป็นบุคคลของพรรคที่ยอมได้รับการไว้วางใจจากกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรค การทั้ง 2 ไปสนับสนุนให้มีการแก้ไขฐานข้อมูลพรรคการเมือง จ่ายเงินสนับสนุนให้พรรคเล็กลงรับเลือกตั้งจึงเชื่อว่าเป็นการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการเลือกตั้งไม่ให้ยืดเยื้อ เพื่อให้พรรคไทยรักไทยกลับเข้าสู่อำนาจโดยเร็วที่บอกว่าเป็นการกระทำส่วนตัว ตนเองไม่ได้ประโยชน์นั้นหากข้อเท็จจริงหากทำสำเร็จจะถือว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างมาก เพราะถ้าสามารถหาผู้สมัครไปลงเลือกตั้งนอกพื้นที่ ที่ตนเองรับผิดชอบแล้วได้รับเลือกตั้งเข้ามา หรือทำให้การเลือกตั้งเสร็จสิ้นโดยเร็วก็จะเป็นผลงานให้ได้รับตำแหน่งทางการเมืองสูงขึ้น ดังนั้นเชื่อว่า ก่อนดำเนินการแก้ไขฐานข้อมูลพรรคการเมือง และจ้างพรรคเล็ก ทั้ง 2 คนได้รับการยอมรับจากกรมการการบริหารพรรค และพรรค ซึ่งการกระทำดังกล่าวยอมมีผลผูกพันเป็นการกระทำของพรรค ตามมาตรา 20 วรรค 2 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง

ส่วนที่นายบุญทวีศักดิ์ ออกหนังสือรับรองผู้สมัครทั้งที่รู้ว่าไม่มีคุณสมบัติในการสมัครเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของพรรคพัฒนาชาติไทย ส่วนที่บอกว่าไม่มีผู้ใดมาสนับสนุนในการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง แต่โดยข้อเท็จจริงการส่งผู้สมัคร 36 คนในการเลือกตั้ง 2 เม.ย.ยอมใช้เงินมากกว่าการเลือกตั้งปี 48 ที่ส่งเพียง 6 คน ขณะเดียวกันก็บอกว่าตนเองไม่มีเงิน ดังนั้นการกระทำของ นายบุญทวีศักดิ์จึงเป็นการกระทำของพรรคที่มีผลผูกพันต่อพรรคตามมาตรา 20 วรรค 2 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง เช่นเดียวกับนายบุญญาบารมีพล ชินราช หัวหน้าพรรคแผ่นดินไทย ที่เห็นว่าการส่งผู้สมัคร 126 คนในการเลือกตั้ง 2 เม.ย.ต้องใช้เงินมากทั้งที่ตัวเองก็ยอมรับว่าไม่มีเงิน จึงเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวได้รับการเห็นชอบจากกรรมการบริหารพรรค จึงมีผลผูกพันตามมาตรา 20 วรรค 2 ของพ.ร.บ.พรรคการเมืองด้วย เพราะเท่ากับว่า พรรคไทยรักไทยจ่ายเงินสนับสนุนให้พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย ทำให้กลายเป็นว่าพรรคไทยรักไทยส่งผู้สมัครในแต่ละเขตมากกว่า 1 คน ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 108 โดยมีเป้าหมายเพื่อเลี่ยงเกณฑ์ 20 % พิจารณาได้ว่าการกระทำของพรรคไทยรักไทยขัดต่อกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 66(1) มุ่งให้ได้มาเพื่ออำนาจทางการปกครองที่มิใช่เป็นวิถีทางแห่งประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบและศีลธรรมอันดี เพราะพรรคไทยรักไทยได้แทรกแซงบิดผันสร้างภาพลวงตาว่ามีการแข่งขันในระบอบประชาธิปไตย ส่งผลให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยสั่นคลอน และประชาชนที่ทราบข้อเท็จจริงเสื่อมศรัทธาต่อการปกครอง

นอกจากนี้ ในประเด็นข้อกล่าวหาตามมาตรา 66(3) นั้น พรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคแผ่นดินได้รับเงินจากพรรคไทยรักไทย และร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ กกต.ในการกแก้ไขข้อมูลทะเบียนสมาชิกพรรค โดยผู้ถูกร้องที่ 2 และ 3 ได้ออกหนังสือรับรองอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้สมัครของพรรคได้ลงสมัคร การกระทำดังกล่าวก็เพื่อช่วยเหลือพรรคไทยรักไทยในการหลีกเลี่ยงเกณฑ์คะแนน 20 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยและเป็นภัยต่อความมั่นของรัฐ นอกจากนั้น ในประเด็นที่พรรคไทยรักไทยโต้แย้งว่าเป็นการกระทำผิดเพียงเล็กน้อยไม่สมควรยุบพรรคนั้น พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ใช่ความผิดเล็กน้อยตามที่กล่าวอ้าง แต่ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

“สำหรับข้อโต้แย้งที่อ้างว่าหากยุบพรรคแล้วจะส่งผลกระทบกับสมาชิกพรรคจำนวน 14.3 ล้านคนเศษ อาจจะสร้างความวุ่นวายในสังคม และสร้างความไม่มั่นใจต่อชาวต่างชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่าการก่อตั้งพรรคการเมืองจะต้องเป็นการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีอุดมการณ์เดียวกันตั้งแต่ 15 คนขึ้นไป มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการกิจรรมทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน พรรคการเมืองจะต้องเป็นที่รวมของผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองเพื่อประโยชน์โดยรวม แต่เมื่อพิจารณาการยุบสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 แล้ว เห็นว่าปัญหาเกิดขึ้นเพราะการชุมนุมกันของประชาชนที่ขยายตัวกว้างขวางอันมาจากหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้ขายกิจการที่ได้รับสัมปทานจากรัฐให้กับบริษัทของต่างชาติ โดยไม่ได้เสียภาษี ในขณะที่ก่อนการขายกิจการดังกล่าวได้ตรากฎหมายกิจการโทรคมนาคมฉบับที่ 2 เพื่อขยายสัดส่วนการถือของต่างชาติเพียง 3 วันก่อนที่จะขายกิจการ ฉะนั้น การยุบสภาดังกล่าวจึงมีสาเหตุมาจากเรื่องส่วนตัวของหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่ได้เป็นมีปัญหากับฝ่ายนิติบัญญัติ หรือเป็นเพราะประเด็นสาธารณะ แสดงให้เห็นว่าหัวหน้าพรรคไทยรักไทยมีอำนาจเหนืออุดมการณ์ของพรรคอย่างเด็ดขาด ปัญหาทีเกิดขึ้นจึงเป็นปัญหาส่วนตัวของหัวหน้าพรรคไทยรักไทย”

คำวินิจฉัยระบุต่อว่า พรรคไทยรักไทยเป็นสถาบันพรรคการเมือง ต้องเป็นสถาบันหลัก มีภาระหน้าที่ในการผดุงไว้ที่จะให้ประชาชนมีอำนาจสูงสุดในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่พรรคไทยรักไทยกลับทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายนเป็นเพียงแบบวิถีที่จะเข้าไปผูกขาดอำนาจการบริหารของพรรคไทยรักไทยเท่านั้น ย้ำแสดงถึงความไม่เคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง พรรคไทยรักไทยไม่ได้มีอุดมการณ์มุ่งให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้า แต่ประสงค์ที่จะทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ พฤติกรรมเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าพรรคไทยรักไทยไม่สมควรจะมีสภาพความเป็นพรรคการเมืองต่อไป สมควรที่จะยุบพรรค ด้านสมาชิกพรรคอีก 14 ล้านคนเศษนั้น ถือเป็นความรับผิดชอบของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ด้านพรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคแผ่นดินไทย ก็เป็นพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาโดยกลุ่มคนที่หวังประโยชน์ของตนเอง นำพรรคไปรับจ้างพรรคการเมืองอื่น ไม่สมควรจะดำรงความเป็นพรรคการเมืองอีกต่อไป

ม.ล.ไกรฤกษ์ อ่านคำวินิจฉัยถึงกรณีการนำประกาศ คปค.ฉบับที่ 27 ข้อ 3 มาบังคับใช้ด้วยหรือไม่นั้นว่า แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าการตรากฎหมายที่เพิ่มโทษจะไม่นำมาบังคับใช้ย้อนหลัง แต่ในกรณีที่เกิดขึ้นนี้ มีเหตุอันควรเชื่อว่าอาจจะมีการทำผิดซ้ำขึ้นอีกจึงให้ประกาศฉบับที่ 27 ข้อ 3 มีผลบังคับใช้กับกรณีนี้โดยให้ครอบคลุมกรรมการบริหารพรรคที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ ณ วันที่มีการกระทำผิด แม้ภายหลังจะมีการลาออกไปก็ยังมีผลบังคับโดยตุลาการฯมีมติให้ยุบพรรคไทยรักไทยพร้อมให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคจำนวน 111 คน ตามประกาศของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ตอบรับการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคลงวันที่ 4 พ.ค.2549 มีมติให้ยุบพรรคพัฒนาชาติไทยพร้อมกับเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคจำนวน 19 คน โดยยึดตามประกาศของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ตอบรับการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคลงวันที่ 25 ก.ค.2549 และมีมติให้ยุบพรรคแผ่นดินไทยและเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคจำนวน 3คนตามประกาศของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ตอบรับการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคลงวันที่ 1 มี.ค.2549 โดยให้การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 5 ปีนับแต่วันที่มีคำสั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการอ่านคำวินิจฉัยในกลุ่มคดีนี้เสร็จสิ้นในเวลา 23.45 น. ถือว่าใช้เวลาทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง 15 นาที รวม 2 กลุ่มใช้เวลาอ่านคำวินิจฉัยนานเกือบ 10 ชั่วโมง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยมีทั้ง 119 คน แต่มีอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 8 คนที่รอดจากการถูกตัดสิทธิทางการเมืองครั้งนี้ เนื่องจากมีการลาออกหรือสิ้นสภาพกรรมการฯ ก่อนการกระทำผิด ได้แก่ พระเปรมศักดิ์ เพียยุระ นายเสนาะ เทียนทอง นายฐานิสร์ เทียนทอง นายพันธุ์เลิศ ใบหยก นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรัก นายกร ทัพพะรังสี และนางกอบกุล นพอมรบดี อดีต ส.ส.ราชบุรี ที่ถูกยิงเสียชีวิต

ด้านนายปัญญา ถนอมรอด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเปิดเผยภายหลังว่า คณะตุลาการมีมติ 9 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นคะแนนเอกฉันท์เช่นเดียวกับที่มีมติไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปก่อนหน้านี้ ส่วนให้ประกาศ คปค.มีผลย้อนหลังในการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยนั้น ตุลาการมีมติ 6 ต่อ 3

รายละเอียดและคำพิพากษายุบพรรคไทยรักไทย(PDF)

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
คำวินิจฉัยตุลาการฯ คดีไทยรักไทย-พัฒนาชาติไทย-พรรคแผ่นดินไทย(1)

( 56 k ) | ( 256 K )


คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
คำวินิจฉัยตุลาการฯ คดีไทยรักไทย-พัฒนาชาติไทย-พรรคแผ่นดินไทย(2)

( 56 k ) | ( 256 K )


คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
คำวินิจฉัยตุลาการฯ คดีไทยรักไทย-พัฒนาชาติไทย-พรรคแผ่นดินไทย(3)

( 56 k ) | ( 256 K )


คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
คำวินิจฉัยตุลาการฯ คดีไทยรักไทย-พัฒนาชาติไทย-พรรคแผ่นดินไทย(4)

( 56 k ) | ( 256 K )


คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
คำวินิจฉัยตุลาการฯ คดีไทยรักไทย-พัฒนาชาติไทย-พรรคแผ่นดินไทย(5)

( 56 k ) | ( 256 K )


คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
คำวินิจฉัยตุลาการฯ คดีไทยรักไทย-พัฒนาชาติไทย-พรรคแผ่นดินไทย(6)

( 56 k ) | ( 256 K )


/0110
รายชื่อ 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่โดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ได้แก่

1.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรค
2.คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
3.นายจาตุรนต์ ฉายแสง
4.นายไชยยศ สะสมทรัพย์
5.พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
6.นายเนวิน ชิดชอบ
7.นายประชา มาลีนนท์
8.นายประยุทธ์ มหากิจศิริ
9.นายปองพล อดิเรกสาร
10.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา
11.นายพินิจ จารุสมบัติ
12.นายโภคิน พลกุล
13.นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์
14.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
15.นายสนธยา คุณปลื้ม
16.ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
17.นายสมชาย สุนทรวัฒน์
18.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
19.นายสรอรรถ กลิ่นประทุม
20.นายสุชาติ ตันเจริญ
21.ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย
22.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ
23.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ
24.นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
25.นายชานนท์ สุวสิน
26.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
27.นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี
28.นายภูมิธรรม เวชยชัย
29.ดร.สิริกร มณีรินทร์
30.น.ต.ศิธา ทิวารี
31.ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล
32.นายจำลอง ครุฑขุนทด
33.นายฉัตรชัย เอียสกุล
34.พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์
35.นายชูชีพ หาญสวัสดิ์
36.นายบุญชู ตรีทอง
37.นายประจวบ ไชยสาส์น
38.นายเทวัญ ลิปตพัลลภ
39.นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด
40.นายลิขิต ธีรเวคิน
41.นายระวี หิรัญโชติ
42.ผศ.ดร.รุ่งเรือง พิทยศิริ
43.นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์
44.นายวราเทพ รัตนากร
45.นายวิเศษ จูภิบาล
46.นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล
47.นายสุขวิช รังสิตพล
48.นายสุพร อัตถาวงศ์
49.นายสุชัย เจริญรัตนกุล
50.นายสุนัย เศรษฐบุญสร้าง
51.นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ
52.นายสุริยา ลาภวิสุทธิ์สิน
53.นายสฤต สันติเมทนีดล
54.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช
55.ดร.อดิศร เพียงเกษ
56.ดร.อดิศัย โพธารามิก
57.นายอนุทิน ชาญวีรกูล
58.นายเอกพร รักความสุข
59.นายเกรียง กัลป์ตินันท์
60.นายเกษม รุ่งธนะเกียรติ
61.นายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์
62.นายชูชัย มุ่งเจริญพร
63.นายทศพล สังขทรัพย์
64.นายทองหล่อ พลโคตร
65.นายธีระยุทธ วาณิชชัง
66.นายประชาธิปไตย คำสิงห์นอก
67.นายประสิทธิ์ จันทราทอง
68.นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ
69.ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี
70.นายวิชัย ชัยจิตวณิชกุล
71.นายวิฑูรย์ วงษ์ไกร
72.นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย
73.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
74.นายสมศักดิ์ คุณเงิน
75.นายสาคร พรหมภักดี
76.นางอรดี สุทธิศรี
77.นายอรรถสิทธิ์ (คันคาย) ทรัพยสิทธิ์
78.นายเอกภาพ พลซื่อ
79.นายชาญชัย ปทุมารักษ์
80.นายธานี ยี่สาร
81.นายบุญพันธ์ แขวัฒนะ
82.นายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา
83.นางพิมพา จันทร์ประสงค์
84.นายยงยศ อดิเรกสาร
85.นายลิขิต หมู่ดี
86.ว่าที่ ร.ท.นพ.วัลลภ ยังตรง
87.นายสิทธิชัย กิตติธเนศวร
88.นายสุรสิทธิ์ นิติวุฒิวรรักษ์
89.นายอนุชา นาคาศัย
90.นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์
91.นพ.ทศพร เสรีรักษ์
92.นายปกรณ์ บูรณุปกรณ์
93.นายประทวน เขียวฤทธิ์
94.นายพินิจ จันทรสุรินทร์
95.นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร
96.นายไพศาล จันทรภักดี
97.นางมยุรา มนะสิการ
98.นายเรืองวิทย์ ลิกค์
99.นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์
100.นายวีระกร คำประกอบ
101.พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเสรฐ
102.นายกฤษ ศรีฟ้า
103.นายไวโรจน์ พิพิธภักดี
104.นายวีระ มุสิกพงศ์
105.นายสุธรรม แสงประทุม
106.นายสุรเชษฐ์ ดวงสอดศรี
107.ม.ร.ว.ดำรงดิศ ดิศกุล
108.นางปวีณา หงสกุล
109.ผศ.พิมล ศรีวิกรม์
110.รศ.ดร.ลลิตา ฤกษ์สำราญ
111.น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์


กำลังโหลดความคิดเห็น