กระแสการตัดสินคดียุบพรรคการเมืองกระพือโหมขึ้นมาหลายวันแล้ว และคงจะสิ้นสุดลงหลังจากคณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้ตัดสินคดีแล้ว แต่นั่นไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของประเทศไทย แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้สองกระแสที่รุนแรงที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยประสบมา
ความจริงเคยมีการตัดสินคดียุบพรรคการเมืองกันมาแล้ว แต่ไม่ได้มีกระแสอะไรมาก ก็เพราะว่าไม่มีการสร้างสถานการณ์ปั่นบ้านป่วนเมืองเพื่อจะโค่นล้มกันให้ตายกันไปข้างหนึ่งเหมือนกับครั้งนี้
ดังนั้นประชาชนชาวไทยผู้รักชาติจึงต้องมองให้เห็นแก่นแท้ของกระแสนี้ว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่กระแสเรื่องการตัดสินเรื่องยุบพรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องของสถานการณ์ต่อสู้ที่ระบอบการเมืองหนึ่งต้องการโค่นล้มอีกระบอบการเมืองหนึ่ง และพร้อมที่จะต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย
ขณะทำหมายเหตุนี้ยังไม่ทราบผลการตัดสินคดียุบพรรค แต่การยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรคไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเนื้อหาของการต่อสู้ดังกล่าวเลย จึงควรมองไปข้างหน้าพร้อมกันจะดีกว่า
การต่อสู้ทางการเมืองสองกระแสที่ก่อตัวมาระยะหนึ่งแล้ว ได้แก่การต่อสู้ของกลุ่มการเมืองคณะหนึ่งกลุ่มหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน
พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นการต่อสู้เพื่อจะฟื้นคืนอำนาจรัฐแบบห้วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อยี่ห้อใหม่ว่าระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน ไม่ว่าจะโดยหนทางการเลือกตั้ง หรือโดยการปฏิวัติประชาชาติ แบบเดียวกับการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านที่นำโดยอยาตุลล่าห์คอไมนี่ หรือการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนที่นำโดยเหมาเจ๋อตง หรือไม่ว่าโดยการทำสงครามกลางเมือง ดังที่มีการประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะมีการทำสงครามประชาชนต่อไป
การฟื้นอำนาจรัฐเผด็จการทรราชขึ้นมาใหม่เพื่อนำประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชนนั้น ก็คือการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
จากการทำให้เหลือเป็นเพียงสัญลักษณ์ดังที่ปรากฏในเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์และการกระทำในบางห้วงเวลาที่ผ่านมา ก็จะก้าวไปสู่การโค่นล้มอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในที่สุด
ดังนั้นประชาชนชาวไทยผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งประเทศจึงต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างว่าสถานการณ์ที่ดำเนินไปในประเทศของเราในทุกวันนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ไม่ใช่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในระบอบการปกครองเดียวกัน หากเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพื่อโค่นการปกครองระบอบหนึ่งและนำระบอบการปกครองใหม่มาใช้ในประเทศไทยของเรา
หากเป็นความขัดแย้งภายในระบอบการปกครองเดียวกัน คือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็จะเป็นความขัดแย้งที่สามารถแก้ไขได้โดยสันติตามวิถีทางการเมืองในระบอบรัฐสภา สามารถสมานฉันท์ได้ และไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นดังที่เคยเป็นมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว
แต่ความขัดแย้งที่ระบอบการปกครองหนึ่งต้องการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นเป็นความขัดแย้งที่เป็นปรปักษ์ ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสันติวิธี ไม่สามารถสมานฉันท์กันได้ มีแต่จะต้องโค่นล้มทำลายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น
หากไม่เข้าใจลักษณะความขัดแย้งภายในระบอบการปกครองเดียวกันว่าเป็นชนิดหนึ่ง แตกต่างกับความขัดแย้งประเภทที่ระบอบการปกครองหนึ่งจะเข้ามาแทนที่โดยการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว ก็จะเกิดความผิดพลาดและจะเกิดความเสียหายต่อทุกสถาบัน ตลอดจนประเทศชาติและประชาชนด้วย
เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนี้แม้ยังไม่มีการปฏิวัติครั้งใหม่ แต่บรรยากาศก็ไม่ต่างกับการปฏิวัติอยู่แล้ว ประเทศชาติและประชาชนตลอดจนภาคธุรกิจต่างได้รับผลกระทบกระเทือนโดยถ้วนหน้ากัน และไม่รู้ว่ามันจะทอดเวลาไปนานเท่าใด
ไม่เห็นหรือว่าภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล กองทหารตำรวจพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มอัตราได้เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างละเอียดถี่ยิบ เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่ฝ่ายอริราชศัตรูได้ก่อขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคเหนือหรือภาคอีสานก็ปรากฏว่าทั้งทหารและตำรวจ ตลอดจนฝ่ายปกครองเต็มอัตราศึกได้เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างละเอียดถี่ยิบเช่นเดียวกัน เพื่อสกัดกั้นการว่าจ้างประชาชนรากหญ้าจากชนบทเข้ามาปั่นบ้านป่วนเมืองในกรุงเทพฯ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้ว เหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นแต่ว่าขนาดและขอบเขตไม่ได้กว้างขวางและใหญ่โตเหมือนครั้งนี้เท่านั้น
ประเทศไทยที่เคยสงบสุขสันติ กำลังตกอยู่ในสภาพอึมครึมผสมกับแนวโน้มของความรุนแรงอยู่ทุกวันเวลา จนการค้าขาย การทำมาหากิน การทำธุรกิจ และการบริหารราชการแผ่นดินกระทบกระเทือนหนักหน่วงมากขึ้นทุกที
มันเป็นเช่นนี้เพราะอะไร? ก็เพราะว่าทั้งรัฐบาลเต่าและ คมช. ไม่เข้าใจสภาพของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่าไม่ใช่ความขัดแย้งที่เคยเห็นในอดีต หากเป็นความขัดแย้งที่เป็นปรปักษ์ ที่มุ่งโค่นล้มทำลายล้างชิงบ้านชิงเมือง ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะไม่เข้าใจสภาพปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว จึงหลงละเมอเพ้อฝันว่าจะประนีประนอมสมานฉันท์กันได้ บรรดาข้อตกลงลับอย่างน้อย 3 ระลอกล้วนถูกเหยียบด้วยเท้า หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเกิดการหักหลังฉีกข้อตกลงนั้นตลอดมา
เพราะมันเป็นเพียงแค่วิธีการของอีกฝ่ายหนึ่งในการหลอกให้ตายใจ และในการฟูมฟักจัดตั้งและขยายกำลังของตน ตลอดจนการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นภายในอำนาจรัฐใหม่เท่านั้น
จะไม่มีวันที่ข้อตกลงประนีประนอมใด ๆ หรือความหวังที่จะสมานฉันท์ใด ๆ จะบรรลุผลหรือเป็นจริงได้โดยเด็ดขาด เพราะธาตุแท้ของความขัดแย้งเรื่องนี้คือการโค่นล้มทำลายเพื่อชิงบ้านชิงเมืองนั่นเอง
เพราะไม่เข้าใจปัญหาความขัดแย้ง เพราะหลงละเมอเพ้อฝันว่าจะประนีประนอมสมานฉันท์กันได้ จึงถูกหลอกต้มตุ๋นจนป่นปี้และทำให้สถานการณ์บ้านเมืองทรุดหนักลงโดยลำดับในทุกด้าน
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์สงครามกลางเมืองหรือที่นายจักรภพ เพ็ญแข เรียกว่าสงครามประชาชนก็จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราในไม่ช้านี้
เราจึงเคยเตือนเพื่อนไทยทั้งผองว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ประเทศไทยก็จะเข้าสู่มิคสัญญียุคและกลียุคก็จะเกิดขึ้น เพราะหากปล่อยให้บานปลายจนกลายเป็นสงครามประชาชนแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยที่เราเคยอยู่อีกต่อไป ดังที่ท่านอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้เคยพูดไว้นั่นเอง
จึงต้องขอเตือนอย่างหนักหน่วงมายังพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าสิ่งที่พวกท่านได้ทำมานั้นกำลังนำพาประเทศไทยไปสู่สงครามประชาชน และทำให้ประเทศไทยเป็นแบบเลบานอน ทำให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกโค่นล้มทำลายชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หยุดหลงละเมอเพ้อฝันได้แล้ว จงตื่นขึ้นเถิด ตาสว่างเสียทีเถิด มองต้นตอของปัญหาให้กระจ่างว่าอยู่ตรงไหน เมื่อจับต้นตอของปัญหาได้แล้ว ดับต้นตอของปัญหาได้แล้ว ประเทศไทยของเราก็จะกลับคืนสู่ความปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง.
ความจริงเคยมีการตัดสินคดียุบพรรคการเมืองกันมาแล้ว แต่ไม่ได้มีกระแสอะไรมาก ก็เพราะว่าไม่มีการสร้างสถานการณ์ปั่นบ้านป่วนเมืองเพื่อจะโค่นล้มกันให้ตายกันไปข้างหนึ่งเหมือนกับครั้งนี้
ดังนั้นประชาชนชาวไทยผู้รักชาติจึงต้องมองให้เห็นแก่นแท้ของกระแสนี้ว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่กระแสเรื่องการตัดสินเรื่องยุบพรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องของสถานการณ์ต่อสู้ที่ระบอบการเมืองหนึ่งต้องการโค่นล้มอีกระบอบการเมืองหนึ่ง และพร้อมที่จะต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย
ขณะทำหมายเหตุนี้ยังไม่ทราบผลการตัดสินคดียุบพรรค แต่การยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรคไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเนื้อหาของการต่อสู้ดังกล่าวเลย จึงควรมองไปข้างหน้าพร้อมกันจะดีกว่า
การต่อสู้ทางการเมืองสองกระแสที่ก่อตัวมาระยะหนึ่งแล้ว ได้แก่การต่อสู้ของกลุ่มการเมืองคณะหนึ่งกลุ่มหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน
พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นการต่อสู้เพื่อจะฟื้นคืนอำนาจรัฐแบบห้วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อยี่ห้อใหม่ว่าระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน ไม่ว่าจะโดยหนทางการเลือกตั้ง หรือโดยการปฏิวัติประชาชาติ แบบเดียวกับการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านที่นำโดยอยาตุลล่าห์คอไมนี่ หรือการปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนที่นำโดยเหมาเจ๋อตง หรือไม่ว่าโดยการทำสงครามกลางเมือง ดังที่มีการประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าจะมีการทำสงครามประชาชนต่อไป
การฟื้นอำนาจรัฐเผด็จการทรราชขึ้นมาใหม่เพื่อนำประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยของปวงประชามหาชนนั้น ก็คือการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
จากการทำให้เหลือเป็นเพียงสัญลักษณ์ดังที่ปรากฏในเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์และการกระทำในบางห้วงเวลาที่ผ่านมา ก็จะก้าวไปสู่การโค่นล้มอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในที่สุด
ดังนั้นประชาชนชาวไทยผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งประเทศจึงต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างว่าสถานการณ์ที่ดำเนินไปในประเทศของเราในทุกวันนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ไม่ใช่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในระบอบการปกครองเดียวกัน หากเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพื่อโค่นการปกครองระบอบหนึ่งและนำระบอบการปกครองใหม่มาใช้ในประเทศไทยของเรา
หากเป็นความขัดแย้งภายในระบอบการปกครองเดียวกัน คือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็จะเป็นความขัดแย้งที่สามารถแก้ไขได้โดยสันติตามวิถีทางการเมืองในระบอบรัฐสภา สามารถสมานฉันท์ได้ และไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นดังที่เคยเป็นมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว
แต่ความขัดแย้งที่ระบอบการปกครองหนึ่งต้องการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นเป็นความขัดแย้งที่เป็นปรปักษ์ ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสันติวิธี ไม่สามารถสมานฉันท์กันได้ มีแต่จะต้องโค่นล้มทำลายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น
หากไม่เข้าใจลักษณะความขัดแย้งภายในระบอบการปกครองเดียวกันว่าเป็นชนิดหนึ่ง แตกต่างกับความขัดแย้งประเภทที่ระบอบการปกครองหนึ่งจะเข้ามาแทนที่โดยการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว ก็จะเกิดความผิดพลาดและจะเกิดความเสียหายต่อทุกสถาบัน ตลอดจนประเทศชาติและประชาชนด้วย
เหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนี้แม้ยังไม่มีการปฏิวัติครั้งใหม่ แต่บรรยากาศก็ไม่ต่างกับการปฏิวัติอยู่แล้ว ประเทศชาติและประชาชนตลอดจนภาคธุรกิจต่างได้รับผลกระทบกระเทือนโดยถ้วนหน้ากัน และไม่รู้ว่ามันจะทอดเวลาไปนานเท่าใด
ไม่เห็นหรือว่าภายในกรุงเทพฯ และปริมณฑล กองทหารตำรวจพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มอัตราได้เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างละเอียดถี่ยิบ เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่ฝ่ายอริราชศัตรูได้ก่อขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคเหนือหรือภาคอีสานก็ปรากฏว่าทั้งทหารและตำรวจ ตลอดจนฝ่ายปกครองเต็มอัตราศึกได้เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างละเอียดถี่ยิบเช่นเดียวกัน เพื่อสกัดกั้นการว่าจ้างประชาชนรากหญ้าจากชนบทเข้ามาปั่นบ้านป่วนเมืองในกรุงเทพฯ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเพราะหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้ว เหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นแต่ว่าขนาดและขอบเขตไม่ได้กว้างขวางและใหญ่โตเหมือนครั้งนี้เท่านั้น
ประเทศไทยที่เคยสงบสุขสันติ กำลังตกอยู่ในสภาพอึมครึมผสมกับแนวโน้มของความรุนแรงอยู่ทุกวันเวลา จนการค้าขาย การทำมาหากิน การทำธุรกิจ และการบริหารราชการแผ่นดินกระทบกระเทือนหนักหน่วงมากขึ้นทุกที
มันเป็นเช่นนี้เพราะอะไร? ก็เพราะว่าทั้งรัฐบาลเต่าและ คมช. ไม่เข้าใจสภาพของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นว่าไม่ใช่ความขัดแย้งที่เคยเห็นในอดีต หากเป็นความขัดแย้งที่เป็นปรปักษ์ ที่มุ่งโค่นล้มทำลายล้างชิงบ้านชิงเมือง ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะไม่เข้าใจสภาพปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว จึงหลงละเมอเพ้อฝันว่าจะประนีประนอมสมานฉันท์กันได้ บรรดาข้อตกลงลับอย่างน้อย 3 ระลอกล้วนถูกเหยียบด้วยเท้า หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเกิดการหักหลังฉีกข้อตกลงนั้นตลอดมา
เพราะมันเป็นเพียงแค่วิธีการของอีกฝ่ายหนึ่งในการหลอกให้ตายใจ และในการฟูมฟักจัดตั้งและขยายกำลังของตน ตลอดจนการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นภายในอำนาจรัฐใหม่เท่านั้น
จะไม่มีวันที่ข้อตกลงประนีประนอมใด ๆ หรือความหวังที่จะสมานฉันท์ใด ๆ จะบรรลุผลหรือเป็นจริงได้โดยเด็ดขาด เพราะธาตุแท้ของความขัดแย้งเรื่องนี้คือการโค่นล้มทำลายเพื่อชิงบ้านชิงเมืองนั่นเอง
เพราะไม่เข้าใจปัญหาความขัดแย้ง เพราะหลงละเมอเพ้อฝันว่าจะประนีประนอมสมานฉันท์กันได้ จึงถูกหลอกต้มตุ๋นจนป่นปี้และทำให้สถานการณ์บ้านเมืองทรุดหนักลงโดยลำดับในทุกด้าน
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์สงครามกลางเมืองหรือที่นายจักรภพ เพ็ญแข เรียกว่าสงครามประชาชนก็จะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราในไม่ช้านี้
เราจึงเคยเตือนเพื่อนไทยทั้งผองว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ประเทศไทยก็จะเข้าสู่มิคสัญญียุคและกลียุคก็จะเกิดขึ้น เพราะหากปล่อยให้บานปลายจนกลายเป็นสงครามประชาชนแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยที่เราเคยอยู่อีกต่อไป ดังที่ท่านอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้เคยพูดไว้นั่นเอง
จึงต้องขอเตือนอย่างหนักหน่วงมายังพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ว่าสิ่งที่พวกท่านได้ทำมานั้นกำลังนำพาประเทศไทยไปสู่สงครามประชาชน และทำให้ประเทศไทยเป็นแบบเลบานอน ทำให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกโค่นล้มทำลายชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หยุดหลงละเมอเพ้อฝันได้แล้ว จงตื่นขึ้นเถิด ตาสว่างเสียทีเถิด มองต้นตอของปัญหาให้กระจ่างว่าอยู่ตรงไหน เมื่อจับต้นตอของปัญหาได้แล้ว ดับต้นตอของปัญหาได้แล้ว ประเทศไทยของเราก็จะกลับคืนสู่ความปกติสุขอีกครั้งหนึ่ง.