xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : ทำไม รธน.ปี ’50...ต้องหนุน”บำเหน็จบำนาญ ส.ส.-ส.ว.”?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประชาชนคัดค้านการที่รัฐบาลทักษิณออก พ.ร.ฎ.ให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส.-ส.ว. เมื่อ 7 ส.ค.48
อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

ความพยายามออกกฎหมาย “ให้บำเหน็จบำนาญแก่ ส.ส.และ ส.ว.” เหมือนที่ข้าราชการประจำได้รับ ถือเป็นผลิตผลของรัฐบาลทักษิณที่อ้างว่า ทำตาม รธน.ปี 40 โดยไม่สนเสียงค้านไม่ว่าจากฝ่ายใด แม้ขณะนี้เมืองไทยใกล้จะได้ รธน.ฉบับใหม่ มีโอกาสที่จะแก้ไขทุกประเด็น-ทุกมาตราที่เป็นปัญหา แต่น่าเสียดายที่เรื่อง “บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมือง” กลับถูก “หมก” ไว้ให้ซ้ำรอยปัญหาเดิม ราวกับต้องการตอกย้ำว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลทักษิณทำเรื่องนี้ไว้ดีแล้ว และ รธน.ปี 2540 ก็สร้างความคลุมเครือ-เปิดช่องเรื่องนี้ไว้ดีแล้ว รธน.ฉบับใหม่จึงต้องเดินตามรอยนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ?

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

ขณะที่อุณหภูมิการเมืองว่าด้วยเรื่องร่าง รธน.ปี 2550 กำลังร้อนแรงด้วย 5-6 ประเด็นที่หลายฝ่ายจี้ให้มีการแก้ไข เช่น การลดจำนวน ส.ส.-การสรรหา ส.ว.-การให้ 11 ประมุของค์กรตาม รธน.แก้วิกฤตประเทศ ฯลฯ ต้องบอกว่า ยังมีอีก 1 ประเด็น 1 มาตรา ที่ยังไม่ถูกพูดถึงนัก ทั้งที่ประเด็นนี้เคยถูกคัดค้านตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เพราะรัฐบาลทักษิณนำมาตรานี้มาขยายผลโดยอ้างว่า ต้องทำตาม รธน.ปี 2540 นั่นคือ มาตรา 229 ซึ่งคณะกรรมาธิการยกร่าง รธน.ปี 2550 ได้ยกมาตราดังกล่าวมาใส่ไว้ในมาตรา 192 ของ รธน.ฉบับใหม่นี้ ชนิดที่เรียกว่า คงไว้ทั้งกระบิ ซึ่งหัวใจของมาตรานี้ คือ การให้ข้าราชการการเมือง โดยเฉพาะ ส.ส.และ ส.ว.ได้รับบำเหน็จบำนาญเช่นเดียวกับข้าราชการประจำ!

มาตราดังกล่าว ระบุเต็มๆ ว่า “เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา บำเหน็จบำนาญหรือประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา”

ซึ่งรัฐบาลทักษิณได้ทิ้งทวนการอยู่ครบเทอมในสมัยแรกปลายปี 47 ด้วยการมีมติ ครม.เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2547 อนุมัติร่าง พ.ร.ฎ.2 ฉบับ ฉบับแรก-ให้ขึ้นค่าตอบแทนและเงินประจำตำแหน่งแก่ข้าราชการการเมือง(ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้าน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา) โดยประธานสภาผู้แทนราษฎร จะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจาก 114,000 บาท เป็น 115,920 บาท ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับเงินเดือนของนายกรัฐมนตรี สำหรับประธานวุฒิสภา ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจาก 108,500 บาท เป็น 110,390 บาท ส่วนรองประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานวุฒิสภา ได้เงินเดือนเพิ่มจาก 104,500 เป็น 106,330 บาท ขณะที่ ส.ส.-ส.ว.ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจาก 77,000 บาท เป็น 104,330 บาท!

ไม่ใช่แค่ไฟเขียวให้ขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมือง แต่ ครม.ทักษิณวันนั้นยังเห็นชอบ พ.ร.ฎ.อีก 1 ฉบับให้ข้าราชการได้รับบำเหน็จบำนาญด้วย โดยกำหนดว่า ผู้ที่เป็น ส.ส.-ส.ว.ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.2540 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศใช้ รธน.ปี 2540 เป็นต้นมา เข้าข่ายได้รับบำเหน็จบำนาญ ส่วนใครจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ กำหนดไว้ดังนี้ ผู้ที่เคยเป็น ส.ส.หรือ ส.ว.ตั้งแต่ 2-3 ปี ได้รับบำเหน็จบำนาญร้อยละ 20 ของเงินเดือน ,ถ้าเคยเป็น ส.ส.-ส.ว.3-7 ปี จะได้รับร้อยละ 30 ,ถ้าเคยเป็น ส.ส.-ส.ว.7-11 ปี จะได้รับร้อยละ 40 ,ถ้าเคยเป็น ส.ส.-ส.ว.11-15 ปี จะได้รับร้อยละ 50 ,ถ้าเคยเป็น ส.ส.-ส.ว.15-20 ปี จะได้รับร้อยละ 60 แต่ถ้าเคยเป็น ส.ส.-ส.ว.ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จะได้รับบำเหน็จบำนาญร้อยละ 70!?!

แม้อัตราบำเหน็จบำนาญดังกล่าวจะสูงมากแล้ว แต่ดูจะยังไม่เป็นพอใจของอดีต ส.ส.บางส่วน จึงมีการเรียกร้องเพิ่มอัตราบำเหน็จบำนาญให้สูงขึ้นอีกเท่าตัว และให้ขยายการได้รับสิทธิให้ครอบคลุมถึงผู้ที่เคยเป็น ส.ส.-ส.ว.ก่อนปี 2540 หรือก่อนที่ รธน.ปี 2540 จะบังคับใช้ด้วย

นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคไทยรักไทย และรองประธานกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาสวัสดิการสมาชิกรัฐสภาและบุคลากรรัฐสภา ในขณะนั้น อ้างว่า ไม่ได้ขอบำเหน็จบำนาญเพิ่ม แต่เป็นอัตราเดิมที่เคยเสนอรัฐบาลไปแล้วก่อนหน้านั้น แต่รัฐบาลยังให้ไม่ถึงตามที่เสนอ จึงเสนอใหม่ด้วยการยืนยันอัตราเดิม เพราะเมื่อมีอดีต ส.ส.ร้องว่า ควรให้ ส.ส.ก่อนปี 2540 ได้รับบำเหน็จบำนาญด้วย จึงน่าจะพิจารณาแก้ไขไปในคราวเดียวกัน

“หลังจากที่รัฐบาล (ทักษิณ) ได้ออกพระราชกฤษฎีกาบำนาญให้ (อดีต ส.ส.)ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.2540 เป็นต้นมา และทำให้คนที่เป็น (ส.ส.) ก่อนหน้านี้ ไม่มีสิทธิได้รับบำนาญ ท่านประธานสภา โภคิน (พลกุล) ก็ได้กรุณาให้คณะกิจการสภาได้ดูจะช่วยเหลือสมาชิกเราได้อย่างไร ผมก็ได้นำคณะอนุกรรมาธิการเรื่องสวัสดิการได้ศึกษาข้อมูลตัวเลขประกอบ ที่สุดก็มีความเห็นว่า ควรที่จะต้องแก้กฤษฎีกาใหม่ ให้ครอบคลุมไปถึงอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน ให้ครอบคลุมจำนวนคนก่อน ซึ่งขณะนี้ (เมื่อกลางปี 48) มีตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 1,300 คนเศษ ซึ่งในจำนวนอดีตสมาชิก (ส.ส.) ทั้งหมด 1,300 คน ส่วนหนึ่งก็จะอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งก็จะคัดสรรออกมา ที่เหลือก็จะเหลือประมาณสักครึ่งหนึ่ง 600-700 คน ที่ยังไม่ได้รับอยู่ในกฤษฎีกาที่รัฐบาลออก จำนวนนี้น่าจะต้องย้อนไป ซึ่งจะต้องแก้ไขกฤษฎีกา ส่วนจำนวนเงินที่ให้กับท่านอดีตสมาชิก วันนี้ต่ำสุดก็ประมาณ 7,700 บาท คนที่เป็น (ส.ส.) 2-3 ปี ก็น่าจะปรับให้สูงขึ้นอีกนิดหน่อย คนที่ได้ต่ำสุดน่าจะเริ่มต้นด้วย 10,000, 15,000 บาทอะไรอย่างนี้ ซึ่งจะมีตัวเลขที่คำนวณไว้ ตาม Rate เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยที่รัฐบาลกำหนด เพิ่มไม่ถึง 100% เพิ่มประมาณสักครึ่งหนึ่ง คือ บอกว่า ให้ 7,000 ก็น่าจะเป็นสัก 10,000 หรือ 12,000 ถ้าคนอยู่ระหว่าง 3-6 ปี ท่านละ 15,000 ก็น่าจะเป็นสัก 20,000 หรือ 25,000 ถ้าเป็น 6-12 ปี 20,000 ก็น่าจะเป็นสัก 30,000 ซึ่งตัวเลขพวกนี้ผมก็ได้สรุปเสนอคณะกรรมาธิการกิจการสภา และท่านโสภณ (เพชรสว่าง) ก็ทำบันทึกถึงท่านประธานสภาแล้ว เพื่อให้ท่านประธานสภาได้ดำเนินการให้ฝ่ายกฎหมายของสภาดูให้เกิดความรอบคอบอีกที แล้วก็ส่งให้กับรัฐบาล ประสานงานกับรัฐบาล เพราะเรื่องเหล่านี้อยู่ที่รัฐบาล (ทักษิณ) จะกรุณาให้กับอดีตเพื่อนสมาชิกได้สักเท่าไหร่”

ด้าน นายโภคิน พลกุล ประธานรัฐสภาในขณะนั้น พูดถึงเรื่องการขึ้นบำเหน็จบำนาญ ส.ส.-ส.ว.ว่า ส.ส.ก็ไม่ได้มีเงินเดือนมากมายนัก และทุกคนก็ทำงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ จึงควรได้รับการดูแลเรื่องบำเหน็จบำนาญให้เหมาะสม และให้เหมาะกับประเทศด้วย

ขณะที่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ส.ว.กทม.ในขณะนั้นไม่เห็นด้วยที่จะขึ้นบำเหน็จบำนาญ โดยบอกว่า อัตราเดิมก็เพียงพอแล้ว เพราะถ้าจะเทียบ ส.ส.-ส.ว.ว่า เท่ากับข้าราชการระดับ 11 คงไม่เหมาะสม เนื่องจากข้าราชการต้องสะสมอายุราชการ ต้องทำงานนานกว่าจะเป็นปลัดกระทรวง แต่ ส.ส.-ส.ว.เป็นตามวาระ แล้วจะให้กระโดดมาเป็นระดับ 11 เลย คงไม่เหมาะสม

ด้าน นายสุรชาติ ชำนาญศิลป์ ส.ส.อุดรธานี พรรคไทยรักไทย ในขณะนั้น ยืนยันว่า การให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส.-ส.ว.เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ(ปี 2540)กำหนดอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาโจมตี เพราะเงินเดือน ส.ส.ก็ไม่ได้มาก แถมแต่ละเดือนยังถูกหักภาษีเยอะ ค่ารักษาพยาบาลภรรยาและลูกก็ไม่มีเหมือนข้าราชการประจำ

“เสียภาษีหนักเลย ของพี่เดือนๆ หนึ่ง เสีย 27,000 บาท เงินรับรอง ค่าโรงแรม ค่าที่พัก ค่ารักษาพยาบาลลูกเมีย ค่าเรียนลูก เบิกอะไรไม่ได้หมด ส.ส.เบิกอะไรไม่ได้เลย เข้าโรงพยาบาล 4-5 พัน 1-2 หมื่น ก็โดนหมด บางคนผ่าตัดที 5-6 แสน เบิกได้ที่ไหน เบิกไม่ได้เลย ข้าราชการเขายังเบิกกันเต็มๆ หมด ค่าเล่าเรียนบุตร ค่ารักษาพยาบาลได้ฟรีหมด แล้วทำไมไม่โจมตีข้าราชการบ้าง ...พี่เป็นผู้แทนมาตั้งแต่เดือนละ 8,000 บาท ไล่มา 18,000 มา 30,000 กว่า ไล่มาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ น่าเห็นใจนักการเมือง”

ขณะที่นักการเมืองโอดครวญว่า ไม่มีสวัสดิการ จึงควรได้รับบำเหน็จบำนาญ แต่กระแสสังคมไม่รู้สึกเช่นนั้น โดยหลายฝ่ายต่างคัดค้านการให้บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมืองอย่างกว้างขวาง 1 ในผู้ที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในขณะนั้น ก็คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.เขียน ธีระวิทย์ นักวิชาการชื่อดังด้านรัฐศาสตร์ โดยบอก ส.ส.-ส.ว.ไม่ควรได้รับบำเหน็จบำนาญเหมือนข้าราชการประจำ เพราะเจตนารมณ์ของการให้บำเหน็จบำนาญข้าราชการนั้น เป็นคนละเรื่องกับข้าราชการการเมือง

“ต้องเข้าใจว่า ข้าราชการการเมืองมันมีต้นกำเนิดมาจากตะวันตกในสมัยกรีก เขามีตั้งแต่สมัยอริสโตเติล เขาให้เกียรตินักการเมืองที่เป็นอาสาสมัคร ทำงานให้ฟรีๆ แล้วตอนนั้นมีเกียรติมาก ตอนหลังประเทศอื่นก็ให้เงินค่าตอบแทน ก็โอเค.ค่าตอบแทน แต่มาถึงบำเหน็จบำนาญผมคิดว่ามันไปอีกระดับหนึ่งแล้ว นั่นอันหนึ่ง แต่เดิมข้าราชการการเมืองเป็นอาสาสมัคร ทำงานด้วยใจสมัคร มีอาชีพอยู่แล้ว ไปเปรียบเทียบกับข้าราชการประจำไม่ได้ ข้าราชการประจำเขาเริ่มต้นโดยให้เงินเดือนต่ำมากนะ คนที่เป็นข้าราชการประจำ คนที่มีไฟแรง มีความสามารถมากไม่ค่อยจะอยู่ (กับราชการ) กันหรอก เพราะฉะนั้นข้าราชการประจำ เขาจึงเอาบำเหน็จบำนาญไปเป็นเครื่องล่อใจว่า เอาละ..จน..จนไป แต่พอเกษียณอายุแล้ว เขายังอยู่ได้ พวกนี้เริ่มต้นโดยเงินเดือนของเขา ถ้าคุณวุฒิเท่ากับ ส.ส.-ส.ว.เงินเดือนเขาไม่ถึงเศษ 1 ส่วน 10 ของ ส.ส.-ส.ว. ที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ พวกที่มีคุณวุฒิเท่าๆ กันเนี่ย คุณธรรมนี่คำนวณยากนะ วัดกันยาก มันเริ่มโดยอัตราเงินเดือนที่ต่ำมาก ฉะนั้นโดยเหตุผลที่เขามีอยู่ ก็เพื่อให้เป็นหลักประกันว่า เมื่อทำงานไปสักพักหนึ่งแล้ว มีหน่วยมีก้านมีชื่อเสียง และมีอะไรดีคนอื่นมาซื้อไปไม่ได้ ไม่งั้นพวกดีดี คนอื่นมาซื้อตัวไปหมด มันก็จะเหลือข้าราชการที่ไม่มีความรู้ความสามารถ ถ้าเช่นนั้นก็ทำให้ระบบราชการที่เป็นอยู่มันอ่อนแอ และรักษาผลประโยชน์ให้กับประเทศชาติไม่ได้”

ไม่เพียงเจตนารมณ์ของการให้บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมืองจะไปด้วยกันไม่ได้กับข้าราชการประจำ แม้แต่เงินเดือนของข้าราชการการเมืองยังทิ้งห่างข้าราชการประจำชนิดไม่เห็นฝุ่น ยิ่งมองไปถึงสิทธิแห่งการได้รับบำเหน็จบำนาญของข้าราชการการเมืองกับข้าราชการประจำด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเป็น ส.ส.-ส.ว.แค่ 2 ปีก็ได้บำเหน็จบำนาญแล้ว แต่ข้าราชการประจำต้องทำงาน 15 ปีขึ้นไปถึงจะมีสิทธิได้รับบำเหน็จ และต้องทำงาน 25 ปีขึ้นไป ถึงจะมีสิทธิเลือกว่าจะรับบำเหน็จหรือบำนาญ นี่ยังไม่รวมถึงว่า อัตราและยอดเงินบำเหน็จบำนาญที่แต่ละฝ่ายได้รับ จะต่างกันขนาดไหน?

“ระดับปลัดกระทรวงซี-11 ระดับอธิบดีซี-10 เราก็รู้กันว่า มันมีกี่คน ผมลองคำนวณประมาณ 40,000 คนจะมีระดับนั้นสัก 1 คน ระดับนั้นจะมีเงินเดือน 50,000-60,000 บาท นั่นก็เท่ากับครึ่งหนึ่งของข้าราชการการเมืองปัจจุบัน นั่นประเภท Top แล้วนะ สูงสุดของข้าราชการประจำ และผมได้ทราบจากคนที่ไปอยู่ตำแหน่งสูงสุดในหน่วยของเขา หน่วยสำคัญมาก มีบำนาญไม่ถึง 30,000 บาทต่อเดือน นี่รับราชการมาเกือบ 40 ปี”

ด้าน ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) มองว่า สังคมไทยในขณะนี้ การให้บำเหน็จบำนาญแก่ ส.ส.-ส.ว.อาจจะยังไม่ค่อยเหมาะ เพราะตำแหน่งการเมืองเป็นตำแหน่งระยะสั้น และประชาชนคาดหวังว่า นักการเมืองคือคนที่จะต้องเข้ามาเพื่อเสียสละต่อส่วนรวม ไม่ใช่เข้ามาเพื่อหวังกอบโกยผลประโยชน์ทำนองนี้

ขณะที่ อ.ปรีชา สุวรรณทัต นายกสภามหาวิทยาลัยวงศ์ชวลิตกุล นครราชสีมา และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเคยเป็น ส.ส.มาก่อน ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกันกับการให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส.-ส.ว. เพราะฝ่ายการเมืองมีเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งที่สูงมากอยู่แล้ว ดังนั้น อ.ปรีชา เสนอว่า ควรตัดประเด็นการให้บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมืองออกจาก มาตรา 192 ของร่าง รธน.ปี 2550

ด้านนายเดโช สวนานนท์ รองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และเคยเป็นสมาชิกสภาร่าง รธน.( ส.ส.ร.) ปี 2540 ด้วย บอกว่า ส่วนตัวแล้วมองว่า การให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส.-ส.ว. ถ้ากฎเกณฑ์ไม่เอื้อประโยชน์จนน่าเกลียดกว่าข้าราชการประจำ ก็เห็นด้วย และว่า การมีประเด็นนี้ตั้งแต่ รธน.ปี 40 เป็นลักษณะว่า เห็นใจ ส.ส.-ส.ว. แต่ก็ต้องให้แบบพอเหมาะพอควร ไม่ใช่เอาให้คุ้มค่า ส่วนกรณีที่ร่าง รธน.ปี 50 นี้ ไม่ได้แก้ไขมาตราดังกล่าว เพราะไม่เห็นว่า เรื่องนี้ก่อให้เกิดปัญหาทางการเมือง

“รธน.(ปี 50) แสดงเจตนาว่า ถ้าจะมีบำนาญของข้าราชการการเมือง ก็น่าจะทำได้ แสดงเจตนาไว้เท่านั้น ไม่ได้บอกว่า ต้องมีบำเหน็จบำนาญนะ แต่แสดงเจตนาว่า ถ้าพิจารณาต้องการจะให้มีบำเหน็จบำนาญของข้าราชการฝ่ายการเมือง ก็น่าจะทำได้ เราเปิดช่องให้ แต่ข้อพิจารณาว่า บำเหน็จบำนาญข้าราชการทางการเมืองควรจะได้เท่าไหร่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นั่นต้องมาออกกฤษฎีกา ก็ต้องต่อรองในหลักการกัน ถ้าเห็นว่ากฤษฎีกานั้นไม่เหมาะสม ก็เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ก็รับไป ก็เท่านั้นเอง (ถาม-มีแนวโน้มแก้ไขหรือไม่?)ในหลักการยืนยัน เพราะเห็นว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดปัญหาในทางการเมือง ไม่เหมือนมาตราที่เราแก้ ที่เราเห็นว่ามันเกิดปัญหา เราถึงปรับแก้ เราไม่ได้มีหน้าที่ให้แก้ รธน.ทั้งฉบับ ให้แก้ รธน.ที่เทียบเคียงว่า มันต่างจาก 2540 ตรงไหน กี่มาตรา เพราะอะไร เจตนาของ 2550 เป็นอย่างนั้น ไม่ให้ยกร่างทั้งหมดทุกมาตรา มาตราใดที่ไม่เป็นปัญหา เราก็ไม่แก้ไข แล้วถามว่า ทำไมถึงไม่แก้ไข ก็ตอบว่า ก็ไม่คิดว่ามันมีปัญหา ก็เลยไม่แก้ไข”

คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ประเด็นการเปิดช่องให้ข้าราชการการเมือง โดยเฉพาะ ส.ส.-ส.ว.ได้บำเหน็จบำนาญดังเช่นข้าราชการประจำ จะกลายเป็นอีก 1 ประเด็นที่มีผู้คัดค้านจนต้องประกาศคว่ำ รธน.ฉบับใหม่นี้หรือไม่? ซึ่งงานนี้...จะเป็นบทพิสูจน์ด้วยว่า กระแสคัดค้านเรื่องนี้ จะมีเฉพาะในสมัย”รัฐบาลทักษิณ”เท่านั้นหรือไม่?
โภคิน พลกุล อดีตประธานสภาฯ สมัยรัฐบาลทักษิณ
ไพจิต ศรีวรขาน อดีต ส.ส.นครพนม พรรคไทยรักไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น