xs
xsm
sm
md
lg

ฝากบอก “ครูเคท” กลับไปสอนภาษาอังกฤษตามเดิมจะดีกว่า

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

•• การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ TALK ASIA ออกอากาศเป็นเวลา 22 นาที ทาง CNN แพร่ภาพถี่ยิบ ตลอดวันเสาร์วันอาทิตย์ที่ 20 – 21 มกราคม 2550 มีสาระสำคัญทำนองเหิมเกริมถึงขนาดที่ เรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงมาเป็นผู้ปิดฉากเรื่องราวในอดีตเพื่อความสมานฉันท์ นั้น “เซี่ยงเส้าหลง” ว่าถ้าในใจของอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 นึกเปรียบเทียบตนเองเหมือน จอมพลถนอม กิตติขจร ที่หลังจากจำเป็นต้อง เดินทางออกนอกประเทศหลังเกิดวิกฤตการณ์การเมือง แล้วเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งก็ เดินทางกลับได้ ก็แปลว่าคนคนนี้ ผิดพลาดอย่างฉกาจฉกรรจ์, ไม่เข้าใจสถานภาพของตนเองและสภาพแวดล้อมทางการเมือง ความแตกต่างในประการสำคัญระหว่าง จอมพลถนอม กิตติขจร กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็คือท่านแรก ไม่ได้ถูกตั้งข้อสงสัยในความจงรักภักดีแม้แต่น้อย ข้อเสียที่เกิดขึ้นในแวดวงบริหารราชการแผ่นดินเมื่อกว่า 30 ปีก่อนเกิดจาก ขุนศึกร่วมคณะ, บริษัทบริวารที่แวดล้อมขุนศึกร่วมคณะ การตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศก็เพื่อ ถวายเป็นราชพลี และเมื่อออกไปอยู่ต่างแดนก็ ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองในอันที่จะก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อระบอบใหม่และราชบัลลังก์ ซึ่งแตกต่างราวฟ้ากับดินกับคนคนหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจจะยังไม่ถูกตั้งข้อหา หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ความเป็นจริงก็คือ คำพูด, นโยบาย, ท่าที-ท่วงทำนอง และ ผลที่เป็นจริงในการปฏิบัติตามนโยบาย ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะ 2 ปีสุดท้ายนั้น สะท้อนยุทธศาสตร์การเมืองที่มุ่งหวังแปรเปลี่ยนสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นเพียงสถาบันตามวัฒนธรรมประเพณีที่ไม่มีพระราชอำนาจที่เป็นจริงในทางปฏิบัติ พูดง่าย ๆ ว่าข้อกล่าวหาที่รู้จักกันในนาม ปฏิญญาฟินแลนด์ นั้น มีจริง แน่นอน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่อาจจะนำกรณีของตัวเองไปเปรียบเทียบกับ จอมพลถนอม กิตติขจร เจ้าของสมญานาม จอมพลคนซื่อ ตรงกันข้ามการออกมาพูดจาเรียกร้องต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านสื่อสาธารณะไปทั่วโลก มันส่อ เจตนาร้าย ที่ต้องการโกหกพกลมไปทั่วโลกให้ เข้าใจสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในทางที่ไม่ถูกต้อง เสียมากกว่า

•• แน่นอนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงเป็น พสกนิกร ที่มีสิทธิ หวังพึ่งพระบารมี แต่จะต้องเริ่มต้นด้วย การสำนึกผิด และ ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียม ประเด็นนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกมาตอบโต้ทันควันทาง ASTV : ทีวีกู้ชาติ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2550 ที่ผ่านมาว่าถ้า จริงใจจริง ๆ อดีตนายกรัฐมนตรีจะต้องเริ่มต้นด้วยการกราบบังคมทูลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นปฐมบทในทำนองว่า “...ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบมาแทบฝ่าละอองธุลีพระบาท ด้วยความสำนึกผิดว่าในอดีตนั้นข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งอันใดที่เป็นการล่วงละเมิด หรือล่วงเกิน ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ด้วยกาย วาจา และใจนั้น ขอให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงรับทราบว่าข้าพระพุทธเจ้าโง่เขลาเบาปัญญา หลงผิด บัดนี้ข้าพระพุทธเจ้าสำนึกในความผิดนั้นแล้ว และประสบความทุกข์เทวษแสนสาหัส ไม่มีที่ใดจะพึ่งพาแล้ว เห็นแต่พระบารมีเป็นที่พึ่ง ขอกราบพระราชทานอภัยโทษมา ณ ที่นี้.” และยังจะต้อง ดำเนินการอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียม เสียก่อนที่จะ ป่าวประกาศไปทั่วโลก อย่างที่เห็น

•• ในอีกด้านหนึ่ง สนธิ ลิ้มทองกุล ยังเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องส่งสารถึงประชาชนชาวไทยด้วยในทำนองว่า “...กราบเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทย ข้าพเจ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันนี้ข้าพเจ้ามีเรื่องในใจที่ต้องการพูดกับพ่อแม่พี่น้อง ว่าตลอดระยะ เวลา 6 ปีที่ผ่านมานั้น มีข้อผิดพลาดในรัฐบาลของข้าพเจ้า และรัฐบาลชุดนี้กำลังตรวจสอบรัฐบาลสมัยของข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่ามิได้มีเจตนาให้เกิดขึ้น แต่หากเกิดขึ้นแล้ว ข้าพเจ้ายินดีรับผิดชอบ และขอโทษในสิ่งที่ทำมานั้น และขอวางมือทางการเมืองตลอดชีวิต โดยจะขอไปอยู่ที่ต่างประเทศชั่วระยะเวลาหนึ่ง โดยจะขอร้องลูกพรรคไทยรักไทย และเพื่อนฝูง ไม่ให้ไปเยี่ยมโดยเด็ดขาดในชั่วระยะเวลานี้ ส่วนพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบหรือไม่ ให้สมาชิกพรรคดำเนินการกันเอง ข้าพเจ้าจะขออยู่อย่างนี้เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยจะไม่ดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองในทุกลักษณะโดยเด็ดขาด หลังจากนั้นเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ก็สุดแท้แต่พี่น้องประชาชน รัฐบาลใหม่ จะเมตตาให้ข้าพเจ้ากลับมาประเทศไทยภายใต้เงื่อนไขใด.” กรณีนี้สมควรที่จะ ป่าวประกาศไปทั่วโลก ได้

•• เห็น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาออกรายการทาง ช่อง 11 เมื่อกลางวันวันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2550 แล้วอะไรต่อมิอะไรก็ พอไปได้ เสียแต่ ผู้ดำเนินรายการ ระดับ โฆษก, รองโฆษก นี่บอกตามตรงว่า ชั้นไม่ถึง ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงกระไรนักเปลี่ยนเป็นระดับ อดิศักดิ์ ศรีสม ไม่ดีกว่าหรือ
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ออกรายการ “สายตรงจากทำเนียบ” ช่อง 11 วันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2550 โดยมี ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี และ ครูเคท – เนตรปรียา ชุมไชโย รองโฆษกฯ ร่วมดำเนินรายการ
•• ไม่อยากจะ ตำหนิเป็นส่วนตัว แต่ในรายการดังกล่าข้างต้น “เซี่ยงเส้าหลง” ทนไม่ได้จริง ๆ กับคำถามหนึ่งของ ครูเคท – เนตรปรียา ชุมไชโย ที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐบาลใหม่, พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน ขึ้นมาในทำนองว่า “...เป็นเรื่องของเด็ก 2 คนทะเลาะกันหรือเปล่าคะ คือเมื่อเราทะเลาะกับคนนี้ ก็จะห้ามไม่ให้เพื่อนไปคบกับคนที่เราทะเลาะ เรื่องแบบนี้จะทำความเข้าใจให้กับต่างชาติถึงสถานการณ์จริง ๆ อย่างไร.” เล่นเอา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องหันมามองหน้าแล้วบอกว่า “...ไม่ใช่เรื่องของเด็ก 2 คนทะเลาะกันครับ.” แล้วชี้แจงต่ออย่าง ค่อนข้างลำบากใจ เป็นคำถามที่นอกจากจะแสดง ความอ่อนหัดทางการเมือง แล้วยังเป็นการแสดงออกมาถึงความเป็น ผู้ดำเนินรายการที่อ่อนหัดและบกพร่องในสาระสำคัญ นอกจากจะ ไม่ช่วยทำให้ดีขึ้น แล้วยังยัง ทำให้เลวลง อีกต่างหาก ครูเคท – เนตรปรียา ชุมไชโย ยังมี หางเสียง ในอีกหลาย ๆ คำถามโดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับ กิจการโทรคมนาคมที่ตกอยู่ในมือต่างชาติ ในทำนองที่เห็นว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากภายนอกที่ให้จัดการอย่างเด็ดขาดนั้นเป็นพวกไม่รู้ข้อเท็จจริง – เพราะข้อเท็จจริงไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอรู้หรือไม่ว่านำเสียงจากภายนอกที่ หนักแน่นที่สุด ชนิดที่ รัฐบาลต้องพิจารณาและตอบคำถามสังคม ไม่ใช่จากใครที่ไหนแต่เป็นจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นั่นเอง

•• วันแรกเดือนแรกเมื่อ ไม่รู้เรื่อง ยังพอ อภัย แต่นี่ผ่านไป 3 เดือน กับการที่ได้อยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่รับฟังการประชุมการสนทนาในทุกระดับหาก ครูเคท – เนตรปรียา ชุมไชโย ยังคงพัฒนา สติปัญญาทางการเมือง ของเธอได้แค่ตั้งคำถาม “...เป็นเรื่องของเด็ก 2 คนทะเลาะกันหรือเปล่าคะ คือเมื่อเราทะเลาะกับคนนี้ ก็จะห้ามไม่ให้เพื่อนไปคบกับคนที่เราทะเลาะ เรื่องแบบนี้จะทำความเข้าใจให้กับต่างชาติถึงสถานการณ์จริง ๆ อย่างไร.” เท่านี้ “เซี่ยงเส้าหลง” แม้ไม่อยากพูดแต่ก็จำเป็นต้องพูดประโยคนี้ว่า “...ครูเคท – กลับไปสอนภาษาอังกฤษและเขียนหนังสือเคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษเหมือนเดิมเถอะ.” กัลยาณมิตรที่แท้ต้องกล้าให้ ยา แม้จะรู้ว่า ขม นะครูนะ
กำลังโหลดความคิดเห็น