xs
xsm
sm
md
lg

หวั่น พรบ.ธุรกิจต่างด้าวฯ เอื้อ"กุหลาบแก้ว"ลอยนวล!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” อดีตประธานกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตของวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์กับสภาท่าพระอาทิตย์ (10 ม.ค.50) ชี้การแก้พ.ร.บ.ธุรกิจต่างด้าวฯ เอื้อคนไทยมีอำนาจตัดสินใจในธุรกิจที่สงวนไว้กว่าครั้ง จะส่งผลให้“บริษัทกุหลาบแก้ว”ที่ถูกกล่าวหาเป็นนอมินีในการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปได้รับนิรโทษกรรมโดยปริยาย ระบุ หากจะแก้ควรต้องรอหลังพิจารณาเอาผิดในคดีดังกล่าวยุติเสียก่อน พร้อมแนะรัฐบาลควรพิจารณาอีกคร้งอย่างรอบคอบเสียก่อน

คลิกที่นี่ เพื่อฟังการสัมภาษณ์
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 10 มกราคม 2550 ดำเนินรายการโดยยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที

ยุทธิยง – กลับเข้าสู่สภาท่าพระอาทิตย์นะครับ เช้าวันนี้ผมยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที ก็ทำหน้าที่แทนคุณสำราญ รอดเพชร คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และคุณคำนูณ สิทธิสมาน ซึ่งไปประชุมกันที่สภานะครับ สำหรับเรื่องที่มีการพูดคุยกันมากที่สุดก็คือ เรื่องของการประชุม ครม.เมื่อวานนี้นะครับ ที่ประชุมของ ครม.ให้ความเห็นชอบ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มีการแก้ไขใน 2 ประเด็นหลักให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น เขาว่าอย่างนั้นครับ ซึ่งเรื่องนี้นะครับเราอยากจะไปตรวจสอบกับท่านอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นะครับ ซึ่งท่านเป็นอดีตประธานกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริตของวุฒิสภา ซึ่งได้มีการตรวจสอบเรื่องเหล่านี้เอาไว้ สวัสดีครับ อาจารย์เจิมศักดิ์ครับ

ดร.เจิมศักดิ์ – สวัสดีครับ คุณยุทธิยงครับ

ยุทธิยง – ขอบพระคุณครับ อาจารย์ ที่เสียเวลาสนทนาเรื่องนี้แต่เช้ากับรายการครับ

ดร.เจิมศักดิ์ – ยินดีครับ เพราะว่าผมไม่ต้องไปสภาเหมือนกับท่านทั้งหลายพวกนั้น

ยุทธิยง – อาจารย์ครับ สำหรับเรื่องของกฎหมาย เรื่องของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวนี่ ปี 2542 ฉบับนี้นี่มีการพูดคุยใน ครม.เมื่อวานนี้ อาจารย์มองเห็นประเด็นวาระซ่อนเร้นอะไรบ้างไหมครับ

ดร.เจิมศักดิ์ – คือผมเห็นในหลักการ เห็นทั้งเห็นด้วยและที่ทั้งเป็นห่วงนะครับ สิ่งที่เป็นห่วงนี่ผมคิดว่าคนไม่ค่อยได้พูด แต่ว่าเราต้องพูดในหลักการกันเสียก่อน คือเดิมนี่เราต้องยอมรับว่ามีคนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย และการลงทุนในประเทศไทยนี่ เดี๋ยวผมถามคุณก่อนว่าคุณมีเวลาให้ผมกี่นาที

ยุทธิยง – เวลานี้ทั้งเบรกเลยครับ อยากให้อาจารย์อธิบายยาวเลย

ดร.เจิมศักดิ์ – ถ้าอย่างนั้นพอที่จะอธิบายได้และเพราะว่ามันสำคัญ การลงทุนจากต่างชาติในประเทศไทยนี่ ก็ถูกพระราชบัญญัติในเรื่องของบุคคลธุรกิจของคนต่างด้าวนี่ สงวนไว้บางประการ ว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงก็ดี หรือความมั่นคงทางด้านทรัพยากรก็ดี สิ่งต่างๆเหล่านี้นี่เราต้องสงวนไว้ เพราะว่าอยู่ดีๆให้ต่างชาติมาเปิดทีวีในประเทศไทย หรือว่ามีดาวเทียม หรือว่ามีสายการบินวิ่งในประเทศไทยเลยนี่นะครับ มันมีปัญหาเรื่องความมั่นคง ไม่ต้องอธิบายว่าทำไมมันถึงมีปัญหาด้านความมั่นคง ผมคิดว่าท่านผู้ฟังท่านผู้ชมนั้นรู้ดีอยู่แล้วเรื่องนี้ คราวนี้พอเราต้องสงวนนี่ เราก็เลยกำหนดไว้ว่าผู้ที่ถือหุ้นถ้าหากว่าธุรกิจนั้นเป็นนิติบุคคลของไทย จึงสามารถประกอบธุรกิจต่างๆที่เราสงวนไว้ได้ ถ้าหากว่าไม่ใช่นิติบุคคลของไทย ที่มีสัญชาติไทยก็ไม่สามารถประกอบการได้ แต่ก็ประกอบการเรื่องอื่นๆได้

คุณอยากจะไปทำอย่างอื่นก็ทำไป แต่ของพวกนี้ขอไว้ซักจำนวนหนึ่งไม่ให้ทำได้ไหม ถูกต้องใช่ไหมครับนี่คือหลักการ คราวนี้ในกฎหมายก็ไประบุไว้ว่าถ้าจะเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยนี่ จะต้องมีคนไทยถือหุ้นนี่อย่างน้อย 51% ทีนี้คุณยุทธิยงก็คงจะรู้ว่า 51% นี่มันเป็นแต่เพียงตัวเลข ตัวเลขนี่มันต้มกินไม่ได้ แต่มันต้องมีความหมาย ความหมายของคำว่า 51% นี่เราก็รู้กันอยู่นัย หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายว่า ต้องการให้คนไทยนี่มีอำนาจในการตัดสินใจ เพราะว่าคุณยุทธิยงก็รู้ดีว่าในธุรกิจต่างๆ พอเวลาเขาจะต้องโหวตกันนี่ ผู้ถือหุ้นข้างมากโหวตอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้นถูกไหมครับ ก็ยังเชื่อว่าคนไทยนี่ถ้าคนไทยมากกว่า มีอำนาจการตัดสินใจมากกว่า ก็เป็นอันว่าเรายอมเพราะเรายอมเพราะว่าเรื่องความมั่นคงนี่ คนไทยอย่างไรก็ตามมันคงไม่ขายชาติหรอก

ยุทธิยง – รักชาติบ้านเมือง

ดร.เจิมศักดิ์ – ถึงแม้ว่ายอมปริ่มๆเลยนะ 51% นี่นะครับ แต่ว่าเอาละยอม ผมว่าก็มากพอสมควรแล้วนะ ก็เลยไปกำหนดไว้ในลักษณะของจำนวนหุ้นที่ถือถูกต้องไหมครับ ทีนี้มันก็มีคนที่มันศรีธนญชัย พูดเลยก็ได้ก็คือสิงคโปร์กับคนไทยบางคนนี่ ยอมสมอ้างไปเป็นนอมินีเขาก็คือไปเป็นตัวแทนเชิด และกรณีที่ผมไปตรวจพบนี่ก็คือกรณีกุหลาบแก้ว และถ้ากุหลาบแก้วบางคนไม่รู้จักว่ากุหลาบแก้วคืออะไร ก็คือบริษัทเล็กๆบริษัทหนึ่ง และมันก็ถือหุ้นต่อๆไปจนกระทั่งถือหุ้นบริษัทชิน เพราะฉะนั้นถ้าเราพิสูจน์ได้ว่ากุหลาบแก้วเป็นต่างชาติ ชินจะเป็นต่างชาติทันทีเลย ทีนี้กุหลาบแก้วนี่มันก็ซ่อนอยู่ว่า เทมาเส็กนี่ไปซ่อนเอาคน 2 คนถือหุ้นในนามของคนไทย ก็คือคุณพงษ์ สารสิน กับคุณศุภเดช ผมจำนามสกุลท่านไม่ได้แล้วในขณะนี้

สองท่านนี้นี่ถือหุ้น 51% ตกลงพอบอกว่าคนไทยถือหุ้น 51 กุหลาบแก้วก็เลยเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย เพราะว่า 51% นี่มันเป็นของคนไทย และพอกุหลาบแก้วเป็นไทย เขาก็ถือว่าที่กุหลาบแก้วไปถือหุ้นต่อๆไปจนถึงชินนี่ ก็เลยหุ้นดังกล่าวนั้นเป็นของคนไทยที่ไปถือในชินนึกออกไหมครับ ทีนี้ชินก็เป็นคนที่ไปมีแอร์เอเชีย ไปมีไอทีวี ไปมีเอไอเอสอะไรพวกนี้ ซึ่งมันมีปัญหาเรื่องความมั่นคงหมดเลยถูกต้องนะครับ ทีนี้พอมาถึงตรงนี้นี่เราก็ต้องมาพิสูจน์กันว่ากุหลาบแก้วเป็นไทยจริงๆหรือเปล่า แต่ถ้าดูแต่เฉพาะสัดส่วนถือหุ้นก็คือแชร์ของมันว่าคนไทยถือหุ้น 51% มันก็น่าจะเป็นของไทย แต่พอผมตรวจสอบไปลึกๆนี่ ผมก็พบว่าทั้งคุณพงษ์ สารสิน และคุณศุภเดช นี่น่าจะเป็นนอมินี

ทำไมจึงน่าจะ? เพราะว่าหุ้นดังกล่าวนี่ไประบุไว้อีกเป็นเงื่อนไขในหุ้นบุริมสิทธิประเภทนี้ ระบุไว้ว่าเฉพาะหุ้นที่คนไทยถือ 10 หุ้นให้มีสิทธิโหวตเพียงแค่ 1 หุ้น ตกลงหมายความว่ายังไง หมายความว่าถ้าคุณถือหุ้น 51% คุณมีสิทธิโหวตเท่ากับ 5% ตกลงอำนาจการตัดสินใจ 95% ก็ตกอยู่กับของต่างชาติ เราก็ชี้เลยว่ากรรมาธิการนี่ชี้ลงไปเลยว่า อันนี้นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าต่างชาติเป็นเจ้าของ และนิติบุคคลชื่อกุหลาบแก้วนั้นเป็นสัญชาติต่างชาติไม่ใช้สัญชาติไทย พอกุหลาบแก้วมีปัญหามันก็จะพันไปหาชิน ชินก็จะเป็นต่างชาติทันที ถ้าชินเป็นต่างชาติทันที บริษัทชินก็มีความผิดไปหมดเลยในเรื่องของแอร์เอเชีย เอไอเอส ไอทีวี ดาวเทียมอะไรพวกนี้ใช่ไหมครับ

ตกลงอันนี้คือประเด็นที่สำคัญที่เราตรวจพบ เอาล่ะ ทีนี้นี่คือสภาพปัญหา เราก็เชื่อว่ามีลักษณะอย่างนี้อีก ก็คือมีธุรกรรมอย่างอื่นที่เขาแอบเอาคนไทยมาเป็นนอมินีหรือมาเป็นตัวแทนเชิด และก็ทำในลักษณะเดียวกันเช่นนี้อีก ก็น่าจะกระทำเสียให้สิ้นซาก ตรวจสอบเสียและจัดการเสีย ตกลงคุณยุทธิยงครับถ้าไม่ต้องแก้กฎหมาย ผมคิดว่ามันทำได้อยู่แล้ว เพราะว่าคุณจะมีไว้ทำไมล่ะ 51% ที่บอกว่าต้องเป็นไทยนี่ คุณจะเอาตัวเลขไปต้มกินได้ที่ไหนล่ะ หรือคุณดูเอาไว้ฝันหวานๆ เจตนาของผู้ร่างกฎหมายมันก็ชัดเจนว่า การที่มี 51% ก็เพื่อให้คนไทยมีอำนาจในการตัดสินใจ แต่ถ้าคุณเป็นนอมินี ตรวจได้ว่าเป็นนอมินี และมันไม่มีอำนาจการตัดสินใจ มันก็ให้ไม่ได้ กฎหมายก็แทบจะไม่ต้องมีการแก้ไขนะครับ

ทีนี้เอาล่ะ กระทรวงพาณิชย์เสนอขอแก้ กระทรวงพาณิชย์นี่ขอแก้ว่า ต่อไปนี้จะไม่ดูจำนวนผู้ถือหุ้น จำนวนสัดส่วนของหุ้นว่าเป็นของคนไทยลงทุนกี่เปอร์เซ็นต์ แต่จะขอดูอำนาจการตัดสินใจ มันก็ชัดขึ้นถ้าดูแบบพื้นๆตื้นๆมันก็ชัดกว่ากฎหมายเก่าถูกต้องไหมครับ เพราะว่ามันบอกไปเลยว่าดูการตัดสินใจ ซึ่งกฎหมายเก่านี่ผมก็ตรวจสอบก็ดูที่การตัดสินใจอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าเขียนไปเสียเลยแก้เสียเลยว่าดูที่การตัดสินใจ แล้วก็ไประบุอีกว่าคนที่กระทำไม่ถูกต้อง ให้เวลาหนึ่งจำนวนหนึ่งไปแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ตรงนี้ที่ผมมีความเป็นห่วง ผมมีความเป็นห่วงตรงไหน มีความเป็นห่วงตรงที่ว่า 1. ถ้าเราไปแก้กฎหมายฉบับนี้ เท่ากับเรายอมรับว่ากฎหมายเก่านั้นบกพร่อง ไม่สามารถจะเอาผิดคนได้

และ 2. ไปให้โอกาสเขาปรับตัวอีกว่า เนื่องจากว่าเราเป็นฝ่ายบกพร่องเองคือกฎหมาย เพราะฉะนั้นคนที่ทำไปนี่ไม่ผิดหรอก และเขาให้โอกาสคุณปรับตัวได้ ตกลงกุหลาบแก้วก็หลุดเลยนะผมจะบอกคุณให้ ถ้าผมเป็นทนายของกุหลาบแก้ว ผมจะยกข้ออ้างนี้กับศาลทันทีว่าคุณไปแก้กฎหมายทำไม คุณแก้แสดงว่ากฎหมายเก่ามันไม่ดีใช่ไหม กฎหมายเก่ามันเอื้อให้ผมทำได้ใช่ไหม ผมก็ทำถูกกฎหมายสิถ้าอย่างนั้น และยิ่งคุณมีบทเฉพาะกาลต่อไปอีกว่า คุณให้โอกาสคนทำปรับตัวและคุณมาเลือกปฏิบัติจะเล่นงานผมก็ไม่ได้ ก็คุณก็ต้องให้โอกาสผมปรับตัวเหมือนกับบริษัทอื่นๆใช่ไหม และถ้าผมปรับตัวเหมือนบริษัทอื่นๆและคุณมาเล่นงานอะไรผมล่ะ

ตกลงกุหลาบแก้วก็เลยเป็นถูกต้องโดยการแก้กฎหมายฉบับนี้ ยอมรับว่าเดิมบกพร่องคุณถูกต้องแล้ว พอคุณถูกต้องแล้วกุหลาบแก้วเป็นไทย ชินก็เลยเป็นไทย ถือแอร์เอเชียต่อไปได้ ถือเอไอเอส ถือไอทีวีต่อไปได้ ซึ่งเรากำลังทำผิดให้มันถูกใช่ไหมนี่คือสิ่งที่ผมเป็นห่วง แต่ผมไม่เห็นด้วยกับหอการค้าต่างชาติที่ทำออกโวยวาย ผมเรียนคุณยุทธิยงนะครับ ผมรู้สึกไม่ดีมากเลยกับฝรั่งต่างชาติเที่ยวนี้ ปกตินะครับคนต่างชาตินี่ ที่ผมเห็นนักลงทุนที่เขามีจริยธรรม และเขามีธรรมาภิบาลโปร่งใส เขานี่เวลาไปลงทุนประเทศใดเขาจะระมัดระวังมาก ว่ากฎเกณฑ์ของประเทศนั้นมีเจตนาอะไร

ยุทธิยง – เขาจะศึกษากฎหมาย เขามีที่ปรึกษาพร้อม

ดร.เจิมศักดิ์ – ถูกต้อง และดูเจตนารมณ์อย่างดีว่ากฎหมายเขาจะเอายังไง เราไม่ควรไปกระทำผิดบ้านเขา ทำผิดบ้านเขานี่เขาเล่นงานนี่เราเสร็จเลยนะ เพราะเราเป็นคนต่างด้าว

ยุทธิยง – เพราะว่าธุรกิจไม่ใช่บาทสองบาท

ดร.เจิมศักดิ์ – แต่นี่พอเขาจะออกกฎเกณฑ์อันนี้ แม้ผมจะไม่เห็นด้วยกับกฎเกณฑ์ แต่กฎเกณฑ์อันนี้ถ้าพูดถึงไม่ดูในแง่การที่ไปให้นิรโทษกรรมย้อนหลังอย่างที่ได้อธิบายเมื่อซักครู่นี้ มันก็ทำให้อะไรชัดขึ้นถูกต้องไหมครับ ทีนี้เราไปเห็นสันดานของพวกที่มาลงทุนนี่ทันทีเลยว่า ไอ้ที่ผมเข้าใจว่าพวกนี้เป็นคนทำตามกฎเกณฑ์นี่ ผมชักถอยไปเยอะเลย เพราะว่าเขาออกมาบอกว่าอย่างนี้บอกว่า มีอย่างที่ไหนคนลงทุน 100% แต่ให้โหวตต่ำกว่า 50% มันบอกเลยครับว่าเฮ้ย นี่คุณนี่ในวงการธุรกิจนี้มันไม่มีจริยธรรม มันไม่มีธรรมาภิบาลกันแล้ว ถ้ามันลงทุน 100% มันรู้ก็รู้ว่าไอ้สิ่งที่มันลงทุนนี่มันลงทุนไม่ได้เพราะว่าเขาห้ามไว้ ให้ไม่ให้ทำกิจการประเภทนี้ แล้วมันจะบ่นอีกบอกว่าถ้าให้ลงทุน 100% และถ้าหากว่าให้โหวตต่ำกว่า 50% นี่ ด่าว่าใหญ่เลย ผมบอกเฮ้ย ก็คุณอย่าไปลงทุนสิประเภท ก็เขาบอกไว้ว่าคุณลงทุนไม่ได้

ยุทธิยง – ก่อนหน้านี้ทำไมคุณไม่ศึกษาให้พร้อมมูลเสียก่อน ให้กระจ่างแจ้งเสียก่อนใช่ไหมครับ

ดร.เจิมศักดิ์ – ใช่แล้ว และที่การที่คุณบอกว่าคุณลงทุน 100% ก็แสดงว่าคุณเอาตัวแทนเชิดมาอีก 51% ใช่ไหม เมื่อคุณเอาตัวแทนเชิดเข้ามาอย่างน้อย 50% นี่ แล้วคุณจะมาบ่นบอกว่าและจะมาบังคับให้ไปดูที่อำนาจการตัดสินใจ ให้อำนาจการตัดสินใจแค่ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ได้ยังไง ก็คุณน่ะเป็นคนเริ่มต้นทำผิดเอง ผมไม่ไล่คุณออกจากประเทศก็บุญแล้ว ไม่ยึดกิจการก็บุญแล้ว แต่ว่ายังมีหน้าที่จะมารวมตัวกันมาประท้วง และก็ไปเอาทูตต่างประเทศมาขู่ ทำกันว่าประเทศไทยนี่นะครับในยุคทักษิณนี่มันกลัวต่างชาติมาก อะไรก็อ้างต่างชาติ ไอ้พวกนี้มันขึ้นหม้อมันได้ใจ

คือผมเองนี่นะครับก็ร่ำเรียนจากต่างชาติ และผมก็เรียนในมหาลัยที่ค่อนข้างลิเบอโร่ก็คือเสรีนิยมจ๋า จบจากสแตมฟอร์ดที่ใครๆก็บอกว่าทุนนิยมจ๋าเลย และก็ชื่นชมกับการลงทุนจากต่างชาติผมก็ชื่นชม คุณมาลงทุนและคุณทำตามกฎเกณฑ์ ถ้าคุณบอกว่าเออ ไอ้กิจการบางอย่างไม่ควรอยู่ในบัญชีที่จะต้องสงวนให้คนไทย คุณก็ต่อสู้ตรงๆไปเลยว่าเรื่องนี้คุณน่าจะเปิดช่องให้คนต่างชาติทำได้ และพวกสภานิติบัญญัติหรือรัฐสภาของเรา เขาก็พิจารณาเองว่าเขาจะเชื่อคุณไหม ถ้าเขาไม่เชื่อคุณก็ต้องทำตามกฎเกณฑ์ แต่พอคุณบอกผมขอซิกแซกนะ และคุณต้องยอมรับการซิกแซกผมด้วยนะ ผมบอกคุณตรงๆผมรับไม่ได้ ไอ้หน้าพวกนี้ผมเลยไม่ค่อยอยากจะคุยด้วย และก็เขาพยายามติดต่อจะคุยกับผม ผมก็บอกว่าผมไม่อยากจะคุยด้วย

ยุทธิยง – อาจารย์ครับ สำหรับคนที่ออกมานะครับ โดยเฉพาะนักธุรกิจต่างชาติ ประธานหอการค้าต่างประเทศก็ดี ในชื่อในนามที่เขาระบุในข่าวนะครับ คนเหล่านี้ทำไมออกมาไวจัง รักษาผลประโยชน์ของตัวเองกันไวจัง

ดร.เจิมศักดิ์ – คือเรื่องผลประโยชน์นี่ คุณยุทธิยง มันเป็นเรื่องแปลกน่ะ กิเลสของคนนี่มันวิ่งกันไวเหลือเกินจนน่าเกลียด แล้วบุคคลที่เกี่ยวข้องในวงการธุรกิจทั้งหลายนี่นะครับ ผมให้ข้อมูลคุณอันนึงก็แล้วกัน คุณจะผูกเรื่องเข้าไปด้วยกันได้หรือเปล่าผมไม่ทราบ คือขณะนี้นี่คนที่เดินสายอยู่แถวๆฮ่องกง จีน วันนี้ไปญี่ปุ่นนี่นะครับ บุคคลที่เดินๆพวกนี้ พยายามต่อสายถึงนักธุรกิจไทยและนักธุรกิจที่ลงทุนในประเทศไทย บอกว่าถ้าเขาไม่ได้กลับมาบริหารประเทศใหม่พวกคุณนี่เดือดร้อน ผมไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไง แต่อันนี้ผมได้ข้อมูลที่ค่อนข้างที่จะยืนยันจากนักธุรกิจใหญ่ ที่เขามีใจที่คิดว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ว่าก็ได้รับการติดต่อกันมาในทำนองอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอันนี้คุณก็จะลองผูกเรื่องกันดูก็แล้วกัน ว่ามันทำไมถึงคึกคักกันนักในช่วงตรงนี้นะครับ

ยุทธิยง – อุปมาเหมือนกับจากเมืองนี้ แล้วยังยื่นไม้ขีดไฟให้กับคนอื่นอีกใช่ไหมครับ

ดร.เจิมศักดิ์ – และยิ่งกว่านั้นถ้าคุณดูข่าวเมื่อวานนี้ บรรดาสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สภาอะไรต่อมิอะไรที่เป็นนักธุรกิจทั้งหลาย ออกมาบอกว่าจะขอให้โรงแรมไทย จะขอให้หน่วยงานของไทย ไปออกคำชี้แจงเรื่องระเบิดทั้งหลายกับคนต่างชาติ คุณยุทธิยงผมเองคิดว่าไม่รู้ว่าโง่หรือแกล้งโง่ หรือว่าโง่จริงๆคือไม่ฉลาด คือผมไม่เข้าใจว่าคุณไปชี้แจงเรื่องระเบิดกับต่างชาตินี่ไปชี้แจงทำไม เพราะว่าเวลาที่คนนี่เขาจะเข้าประเทศไทย เขาจะมาลงทุนหรือเขาจะมาท่องเที่ยวประเทศไทย แน่นอนถ้ามีสถานการณ์ระเบิดนี่เขาก็ไม่อยากจะมา แต่ถามว่าคุณเล่นจัดทำหลายภาษาเลยเป็นสิบภาษาเพื่อชี้แจงนี่ คุณกำลังจะยิ่งทำให้เขากลัวหรือเปล่า

ที่บอกว่าตกลงมันถึงกับอ่อนไหวขนาดมันรีบชี้แจงเลย และอย่างนี้กูจะไปได้ยังไงวะใช่หรือเปล่าครับ แต่คุณลองกลับไปคิดใหม่ก็แล้วกัน ขณะนี้นี่คุณเคยเห็นอิสราเอลมาชี้แจงอะไรไหมไม่มี เพราะว่าอย่างอิสราเอลนี่นะครับมันมีระเบิดอยู่เยอะแยะเลยตั้งแต่ในอดีต แล้วขณะนี้นี่เราก็รู้สึกว่ามันก็เงียบๆไป ถ้ามีใครชวนผมไปอิสราเอลผมก็ไป เพราะว่าถ้าผมมีธุระหรือผมอยากจะไปเที่ยวผมก็ไป เพราะว่าผมรู้สึกว่ามันเงียบไปแล้ว แต่ถ้าอิสราเอลทำหนังสือมาว่าอธิบายชี้แจงเป็นภาษาไทยด้วยนะครับ แล้วก็บอกว่าไม่มีอะไรหรอกนะครับ เผลอๆผมไม่ไปนะ ผมรู้สึกทันทีว่าผมจะปลอดภัยหรือเปล่า เพราะว่าคุณเล่นเอาข้อมูลมาให้ผมน่ะ ว่าขณะนี้นี่มันมีคนที่เขาไม่มากันเยอะแยะเลยถึงกับออกมาเชิญชวน เพราะฉะนั้นอันนี้ก็คิดดูให้ดีก็แล้วกัน

ยุทธิยง – อาจารย์ครับ ว่าจะชวนคุยอีกประเด็นหนึ่งครับ รู้สึกว่านักธุรกิจสิงคโปร์นะครับ ก็มักจะออกมาพูดนะครับ ว่าประเทศของเขานี่มีความโปร่งใส การจัดการอื่นใดในทางธุรกิจนะครับ ชื่นชมกันมากว่าโปร่งใส แต่ว่าเวลามาลงทุนในบ้านเรานี่มักจะใช้ความไม่โปร่งใสเป็นเครื่องมือทางธุรกิจนี่ ประเด็นนี้อาจารย์คิดยังไงครับ

ดร.เจิมศักดิ์ – ผมเห็นด้วยกับเขาที่บอกว่าบ้านเมืองของเขาโปร่งใส แต่เขาโปร่งใสแต่เฉพาะในบ้านเขา แต่คนสิงคโปร์นี่เท่าที่ผมดูๆแล้วนี่นะครับ พอเวลาไปลงทุนในต่างชาตินี่ค่อนข้างจะมีลูกเล่นสูง ขณะนี้ก็ไปมีลูกเล่นในอินเดีย ในจีน และก็รวมทั้งในประเทศไทย ผมเองอาจจะไม่ได้ตามเป็นระบบถึงกับบอกได้ว่าบริษัทอะไรเป็นอะไร แต่ขอยกตัวอย่างอันเดียว คุณเห็นไหมมีโฆษณาในประเทศไทยใช่ไหมในขณะนี้ จะมีสายการบินใหม่ที่แวะมาประเทศไทย บอกว่ามาจากอินเดีย ผมรู้สึกว่าจะเจ็ทแอร์หรืออะไรทำนองนี้นะครับ คุณไปดูแล้วกันว่าสายการบินชื่อนี้จริงๆแล้วเป็นของใคร ก็ของสิงคโปร์ที่ไปลงทุนในอินเดีย แต่ว่าทำไมไม่บอกเลยล่ะว่าสายการบินนี้เป็นของสิงคโปร์ แต่ทำไมพอเวลามาประเทศไทยก็บอกว่าอันนี้เป็นของอินเดียว ทำให้เรารู้สึกว่าเออ เขาคงเห็นว่าสิงคโปร์กับไทยนี่ ขณะนี้คนคงไม่ค่อยนิยมเท่าไหร่นะครับ ก็เลยหนีไปบอกว่าเป็นสายการบินของอินเดีย อันนี้ก็ต้องตรวจสอบดูนะครับว่าจริงๆแล้วเป็นยังไง

ยุทธิยง – เข้าใจพูดเพื่อทำการค้านะครับ

ดร.เจิมศักดิ์ – เพราะฉะนั้นถ้าโดยสรุปนี่ผมก็คิดว่า คนสิงคโปร์นี่พยายามทำตัวให้มันโปร่งใส และก็พยายามทำให้ได้มาตรฐานตะวันตกในเรื่องของธรรมาภิบาล และผมก็ได้ยินมาเยอะว่าภายในประเทศของเขานี่เขาพยายามทำอย่างนั้น ซึ่งก็ต้องยกย่องนะครับ แต่ว่าพฤติกรรมของคนสิงคโปร์ รวมทั้งการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ชื่อว่ากองทุนเทมาเส็กและอื่นๆนี่ ผมไม่ค่อยมั่นใจว่าเวลาที่ไปลงทุนในต่างประเทศแล้วนี่เขาทำหรือเปล่า เพราะว่าอย่างเช่นกรณีที่ผมเล่าให้ฟังเรื่องกุลหาบแก้ว ชัดเจนมากๆว่าเขาเอาคนไทยใส่คาบเส้นเลย 51% และถ้าคุณไปดูที่มาของเงินไม่ว่าจะที่มาของคุณพงษ์ สารสิน และคุณศุภเดช ที่มาของเงินนั้นนะครับ ก็กลายเป็นที่มานี่ไปเอาเงินมาจากเทมาเส็ก รวมทั้งไปเอาเงินมาจากไทยพาณิชย์และให้เทมาเส็กนั้นค้ำประกัน อย่าเถียงผมนะว่าเทมาเส็กไม่ได้ค้ำประกัน

เขาไปเปิดอีกบริษัทนึงและเอาบริษัทอีกบริษัทนึงมาค้ำประกันแทน ซึ่งค้ำประกันเต็มด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นมันก็ชัดเจนใช่ไหมครับว่ามันคืออะไร เอาล่ะครับ อันนี้ก็พอจะเห็นแล้วนะครับว่าสิงคโปร์นั้นเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ โดยสรุปนี่ถ้าผมจะสรุปในเรื่องของกฎหมายต่างด้าวตรงนี้นะครับ ผมคิดว่าในหลักการนี้เห็นด้วยกับการที่จะต้องปรับปรุงกฎหมายในระยะยาว แต่ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำขณะนี้ เพราะว่าถ้าคุณทำขณะนี้นี่นะครับ และมันผ่าน ครม.ไปแล้วเมื่อวานนี้ มันจะต้องเข้าในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผมเป็นห่วงในเรื่องของการ ถ้าพูดในภาษาหยาบๆคือนิรโทษกรรมทางอ้อม เพราะคุณไปยอมรับว่ากฎหมายเก่านี่มีข้อบกพร่อง เอาผิดไม่ได้ ทั้งๆที่กฎหมายเก่ามันมีเจตนารมณ์และเอาผิดได้อยู่แล้ว

คุณต้องแก้ประเด็นนี้ ถ้าแก้ไขประเด็นนี้ได้ผมก็เห็นว่าดีแล้ว กฎหมายฉบับนี้ก็ควรจะแก้ไข และจะแก้ประเด็นนี้ให้ได้นี่ ประเด็นที่ 1 รีบเอาผิดกรณีกุหลาบแก้วและบริษัทชินเสีย ผมไม่ได้ต้องการจะแก้แค้นแต่ผมต้องการทำให้มันถูกต้อง รีบดูแลเรื่องนี้เสีย และเอาผิดบริษัทอื่นๆด้วย ที่ได้กระทำผิดก่อนหน้านี้เช่นเดียวกันกับชินและกุหลาบแก้ว และถ้าเอาผิดแล้วนี่คุณจะแก้กฎหมายคุณก็แก้กฎหมาย และบริษัทที่ไม่ได้กระทำผิดคุณจะให้เขาทำอะไรยังไง คุณเขียนในกฎหมายให้มันชัดเจน แต่คุณเล่นบอกว่าให้เวลาปรับตัวกี่เดือน ก็เท่ากับว่าคุณกำลังให้ออกฎหมายอนุญาตให้เขากระทำผิดต่อไปได้อีกกี่เดือนเป็นถูกต้องตามกฎหมาย

ยุทธิยง – ดูเหมือนว่าเวลายาวนานถึง 2 ปีครับ

ดร.เจิมศักดิ์ – ผมก็เป็นห่วงนะครับว่าอันนี้เป็นลูกเล่นหรือเปล่า ของใครที่จะไปช่วยบริษัทชินนะครับ และผมเห็นนี่บุคคลที่กระทำการร่างกฎหมายฉบับนี้ ประธานนี่ก็รู้สึกว่าจะเป็นประมล ซึ่งเวลาคุณประมลออกมาชี้แจงสื่อมวลชน ถามว่าเรื่องนี้จะเป็นนิรโทษกรรมหรือเปล่า ท่านบอกว่าคงไม่และท่านก็ไม่อธิบาย คุณยุทธิยงลองสัมภาษณ์ท่านหน่อยสิว่ามันจะไม่ยังไง ในเมื่อประเด็นของผมชี้ให้เห็นอย่างนี้นี่นะครับ ว่าเราไปยอมรับความบกพร่องของกฎหมายเก่า และก็เท่ากับว่ากฎหมายเก่าก็เลยเขาได้ทำถูกต้องเพราะว่ามันบกพร่อง และยังไปให้โอกาสเขาปรับตัวอีก ก็แสดงว่าเขาก็ถูกต้องไงเขาถึงขอปรับตัวให้เข้าตามกฎหมายใหม่ ก็ลองดูแล้วกันครับ

ยุทธิยง – อาจารย์ครับ อีกซักคำถามสุดท้ายครับ เรื่องนี้กฎหมายฉบับนี้นะครับ ถ้าเกิดเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาตินะครับ อาจารย์มองว่าจะออกมาในรูปไหน

ดร.เจิมศักดิ์ – ผมคิดว่าเรื่องนี้ยุ่งพอสมควรนะ ผมเสียวๆ เพราะว่าในสภานิติบัญญัติแห่งชาตินี่ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างนี้นี่ จะมีคนที่มีความรู้สึกว่ารัฐบาลก็คงดูแลดีแล้ว กระทรวงพาณิชย์น่าจะดูแลดีแล้ว รัฐบาลเขาก็ผ่านแล้ว แล้วก็ออกมาก็คงไม่เป็นไร มันไม่เหมือนเรื่องหวยนะ คุณยุทธิยง เรื่องหวยนี่ทุกคนบอกว่าเรื่องจริยธรรมนี่เราเข้าใจ มันเข้าใจง่าย พอบอกว่ากุหลาบแก้ว บางคนบอกว่ามันทำอะไรวะกุหลาบแก้ว เราบอกว่ากุหลาบแก้วนี่คนไทยเป็นนอมินี อ้าวก็ชื่อมันก็ชื่ออยู่แล้วชื่อไทยมากเลย กุหลาบแก้ว มันเป็นภาษาจีนได้ยังไงล่ะ มันไม่ใช่กุหลาบเกี้ยวนี่

ยุทธิยง – คนไทยไม่รู้วาระซ่อนเร้น รายละเอียดซึ่งมีผลประโยชน์เกี่ยวพันกันอยู่

ดร.เจิมศักดิ์ – ใช่แล้ว และพอดูชื่อคนก็บอกก็พงษ์ สารสิน กับคุณศุภเดช ที่เคยเป็นตัวใหญ่ของธนชาติ และคุณจะไปบอกได้ไงว่าเขาเป็นนอมินีไปนู่นเข้าไปอีก คุณเห็นไหมครับ เวลาที่จะเข้าใจเรื่องนี้นี่ถ้าคุณไม่ได้ตามนี่ แล้วคุณจะจำเป็นที่จะต้องพิจารณากฎหมาย คุณก็บอกว่าก็คนที่เขารู้เรื่องดีนี่เขาน่าจะถูกแล้ว และจะให้เขาอภิปรายเขาก็ไม่กล้าอภิปราย ก็จะมีคนที่อภิปรายอยู่ไม่กี่คนที่จะกล้า และเสร็จแล้วมันก็ไม่สามารถที่จะดึงได้ว่า โอเค ตกลงจะเอากันยังไง ผมกลัวว่าเรื่องนี้มันจะกลายเป็นมวยล้มที่จะช่วยเทมาเส็ก หรือช่วยการขายหุ้นของคุณทักษิณกับเทมาเส็ก โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับบริษัทชิน เกี่ยวข้องกับกิจการที่ต่างชาติจะทำไม่ได้ เพราะว่าถ้าไม่อย่างนั้นแล้วคุณรู้ไหมว่าคุณทักษิณอาจจะมีสัญญาอยู่กับเทมาเส็กว่า เรื่องทั้งหมดนั้นจะต้องสำเร็จถึงขั้นใดถึงจะจ่ายเงินกันทั้งหมด

เพราะขณะนี้นี่อาจจะจ่ายเงินกันอยู่แบบใส่บัญชีไว้ในธนาคาร แล้วให้นายธนาคารเป็นตัวกลางในการตรวจสอบกันดูว่า ได้กระทำตามสัญญาทั้งหมดแล้วหรือยังหลังจากที่ซื้อขายกัน ซึ่งอันนี้ธุรกิจใหญ่ๆเขาทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น เงื่อนไขก็คือว่า 1. จะต้องไม่มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายในการที่เขาจะซื้อสมมุติอย่างนี้เป็นต้นนะครับ เพราะฉะนั้นดีลอันนี้และการแก้กฎหมายอันนี้มันไปเอื้อประโยชน์ตรงนั้นหรือไม่ เพราะว่าคุณอย่าลืมว่าดีลอันนี้มันเป็นหมื่นๆแสนๆล้านนะ เมื่อดีลอันนี้มันเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ไอ้โอกาสในการวิ่งเต้นผลักดันพวกนี้มันทำได้ทั้งสิ้น มันจะทำผ่านใคร คุณอย่านึกว่าคนทั้งหลายที่พิจารณากฎเกณฑ์พวกนี้นี่รักชาติจนน้ำลายไหล ในที่สุดแล้วไอ้การวิ่งเต้นทั้งหลายพวกนี้มันเป็นไปได้ครับ ผมไม่ได้กลัวเกินเหตุนะครับ แต่ว่าถ้าวันหนึ่งไม่ฟังนี่ผมคิดว่าคุณจะเสียใจผมก็ช่วยอะไรไม่ได้ ผมคิดว่าผมทำหน้าที่ผมแล้ว

ยุทธิยง – ก่อนลาอาจารย์ขออีกซักคำถาม เรื่องเหล่านี้อาจารย์คิดว่าทางนายกฯเอง ทางประธาน คมช.เอง ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจอยู่ในขณะนี้เข้าใจเรื่องนี้แค่ไหน

ดร.เจิมศักดิ์ – ผมคิดว่าเขาไม่เข้าใจ คือมันเข้าใจยากนะ คุณยุทธิยง และก็ผมก็เชื่อว่าเขาก็ไปเชื่อคณะกรรมการ เชื่อกระทรวงพาณิชย์นะครับ และผมก็เป็นห่วงเรื่องนี้นะครับ ก็ไม่รู้จะทำยังไงล่ะครับ ก็คุณก็ช่วยๆกันก็แล้วกัน มีอะไรก็บอกกล่าวกันไปก็แล้วกันนะครับ เพราะว่าผมเองนี่ไม่มีส่วนได้เสียอะไรทั้งสิ้น ผมได้แต่มีความเป็นห่วงนะครับในประเด็นที่มันจะย้อนกลับไปเปิดช่องเท่านั้นแหละครับ

ยุทธิยง – ขอบพระคุณมากครับ อาจารย์ครับ

ดร.เจิมศักดิ์ – ขอบคุณครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น