xs
xsm
sm
md
lg

"หลวงปู่ฯ"ประณามคนวางระเบิดไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“หลวงปู่พุทธะอิสระ” ร่วมสนทนาธรรมในสภาท่าพระอาทิตย์ (5 ม.ค.50) ประณามการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่วางระเบิดในวันสิ้นปีกว่า 8 จุดว่าไร้ซึ่งศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และอยากให้รัฐบาลตลอดจน คมช.มีการเตรียมการป้องกันให้เข้มแข็งมากกว่านี้ มิฉะนั้นประชาชนจะต้องกลายเป็นผู้รับกรรมแทน ติงผู้เคยมีอำนาจในบ้านเมืองให้รู้จักระมัดระวังคำพูด เพราะจะส่งผลเดือดร้อนต่อประเทศได้ สุดท้ายฝากให้ทุกคนมีสติและใช้ปัญญาไม่ว่าจะกระทำการใดๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดข้อผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้นปีใหม่นี้

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการสภาท่าพระอาทิตย์

รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 5 มกราคม 2550 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร

สำราญ – สวัสดีครับ ต้อนรับเข้าสู่รายการสภาท่าพระอาทิตย์นะครับ วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2550 นะครับ ก็เช่นเคยทุกศุกร์ก็จะเป็นการสนทนาธรรมของหลวงปู่พุทธะอิสระ และก็อาจารย์สามารถ มังสัง วันนี้ก็เข้ารายการช้านิดนึงก็เพราะว่ามันเลทมานะครับ มันสายมาก็พัวพันมาจนถึงนาทีนี้นะครับ 8.24 น.เวลาที่ประเทศไทย สวัสดีท่านผู้ชมต่างประเทศด้วย เอาล่ะครับ รวบรัดตัดความมาที่ตรงนี้เลย อาจารย์สามารถและผมสำราญกราบนมัสการหลวงปู่นะครับ

หลวงปู่ – สวัสดีปีใหม่ ช้าไปหรือเปล่านี่

สำราญ – ไม่ช้า เพิ่งวันที่ 5 เองครับ

สามารถ – มันไม่ช้าเพราะรายการเรานี่ปีใหม่เราไม่ได้จัด วันนี้วันแรกของเรา ก็ไม่ช้า

หลวงปู่ – อย่างนั้นต้องสวัสดีปีใหม่กับท่านผู้ชมทางบ้าน ที่รับชมรายการสภาท่าพระอาทิตย์ที่รักทุกท่าน ขอให้ทุกคนโชคดีปีใหม่ มีสุขภาพแข็งแรง และก็ปัญญารุ่งเรืองเจริญ คิดสิ่งใดสมความปรารถนา คุณ 2 คนด้วย ฉันไม่ได้มาเมื่อศุกร์ที่แล้วเป็นยังไงบ้าง หรือคุณก็ไม่ได้

สำราญ – ศุกร์ที่แล้วก็มาจัดสด

หลวงปู่ – นึกว่าเอาเทปมาออก

สามารถ – คือไม่อยากเอาเปรียบหลวงปู่มากไปก็เลยต้องมา คือมีเทปหลวงปู่ส่วนหนึ่ง

หลวงปู่ – ไปทำหน้าที่ของพระแท้

สามารถ – คือกำลังจะบอกว่าภารกิจที่เป็นของพระจริงๆเลยนะ พระที่ไม่เกี่ยวกับฆราวาสก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง

หลวงปู่ – เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้บอกเลยว่าทำไมถึงเป็นพระแท้เป็นยังไง

สามารถ – พระแท้นี่ก็คือทำหน้าที่ของพระ เป็นอนาคาริก ไม่เกี่ยวกับผู้ครองเรือน อนาคาริกคือไม่มีภารกิจของชาวบ้าน มีภารกิจของพระเป็นตัวนำ

หลวงปู่ – ทำจิตให้สงบ

สามารถ – ก็มีภารกิจ บิณฑบาต กวาดวัด ทำสมาธิอะไรก็ว่าไป

หลวงปู่ – พอมันไปอยู่ในป่าแล้วนะ คุณสำราญ มันทำให้เรารู้สึกได้ว่าไอ้ที่ผ่านมานี่ เราก็อยู่อย่างมีสติแหละ แต่มันเป็นสติของความขวนขวาย ดิ้นรน แสวงหา แต่พออยู่ในป่าแล้วมันมีสติแต่เป็นสติของความปล่อยวาง สติมันมีแล้วมันผ่อนคลาย

สำราญ – สติภายใต้เสียงของจักจั่นเรไร

หลวงปู่ – ไม่ใช่ ไม่มีหรอก มีแต่เสียงน้ำตก

สามารถ – คือพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้พระนี่อยู่โคนไม้ คือต้องการให้สงบน่ะ เพราะว่ากายวิเวกนี่ทำให้เกิดจิตวิเวก ทีนี้ป่านี่มันวิเวกจริงๆนะ มันมีเสียงจักจั่นมีเสียงแมลงอะไรจริง แต่ว่ามันวิเวก

หลวงปู่ – ถึงขนาดได้บทโศลกเลยล่ะ เขียนไว้ว่า “ลูกรัก เมื่อใดที่พ่อทำจิตนี้ให้สงบ สรรพสิ่งรอบกายเป็นเพื่อนพ่อ แม้แต่ความมืด”

สำราญ – แม้แต่ความมืดก็เป็นเพื่อนพ่อ

หลวงปู่ – ใช่ เดินป่าโดยไม่ต้องใช้ไฟฉายในความมืด จนมีความอบอุ่นอยู่ใกล้ๆสิ่งแวดล้อม เมื่อใดที่ทำจิตนี้ให้สงบ สรรพสิ่งรอบกายจะเป็นเพื่อนเรา แม้แต่ความมืด แล้วมันก็รู้สึกผ่อนคลาย

สามารถ – ปกติความมืดนี่ไม่เป็นเพื่อนนะ หลวงปู่ ความมืดนี่เป็นศัตรูนะเพราะเกิดความกลัว อย่างที่เรากลัวผีเพราะว่าเรากลัวความมืดนั่นแหละ กลัวสัตว์ร้ายก็เพราะว่ากลัวความมืด เพราะฉะนั้นความมืดเป็นศัตรู

หลวงปู่ – แต่ถ้าจิตมันเข้าถึงความสงบนิ่งแล้ว มันก็ไม่เกิดความกลัวคือไม่มีศัตรู

สามารถ – พอไม่มีความกลัวความมืดมันก็หายไป

หลวงปู่ – เพราะฉะนั้นมันก็เป็นสุขน่ะคุณ พูดแล้วก็ยังสุขอยู่นะ

สำราญ – นี่คือพระแท้

หลวงปู่ – มันเป็นอะไรที่มันไม่ต้องกระเสือกกระสนทุรนทุราย มันไม่ต้องคุมบัญชี ไปต้องไปคุมก่อสร้าง ไม่ต้องไปปวดหัวกับการบริหารจัดการ ไม่ต้องไปมีหูรับฟังปัญหาของชาวบ้าน มันไม่ใช่ภาพที่มันวุ่นวาย มันสับสน แต่ก็ไม่ได้ตำหนิหรอกนะใครที่ทำอย่างนี้ ก็ถือว่าท่านก็อาจจะสงเคราะห์โลก สงเคราะห์ประชาชน เมื่อสิบกว่าปีก่อนฉันก็คิดอย่างนี้และอยู่ป่าเสีย 5 ปี แต่พอมีเสียงนิมนต์หลายๆครั้งเข้าเราก็ออกมาจากป่า พอออกมาจากป่าเข้ามันชักเริ่มติดโรค มีสติแต่ต้องขวนขวาย ต้องคิด ต้องแสวงหา ต้องแก้ปัญหาอะไรมันเยอะแยะไปหมดเลย จนลืมตัวของเราเอง ลืมเมืองที่อยู่ในตัวเราว่าเราต้องปกครองมันให้ดี ลืมที่ต้องควบคุมมือเท้าแขนขา หูตาจมูกลิ้นของเรา มันมัวแต่ไปควบคุมสิ่งอื่นๆเสียหมดไง มันก็เลยทำให้รู้สึกว่าไม่อยากออกจากป่าเลย

นี่คุณรู้ไหมวันที่ 29 นี่ฉันเข้าป่าก่อนวันที่ 29 เสร็จแล้วก็สั่งอาหารโต๊ะจีนไว้เลี้ยงพระวิปัสสนากับพระในวัดฉันประมาณซัก 60-70 รูปนี่นะ เราถือว่าทำบุญวันเกิดไง เราก็สั่งอาหารโต๊ะจีนไว้ให้เขาและเราก็เข้าป่า ไอ้วันที่เขาฉันโต๊ะจีนกันนี่ ฉันฉันข้าวต้มกับเม็ดสมอที่ป่า และเราก็นึกขำตัวเองว่าเรานี่มันบ้าหรือเปล่า สั่งหูฉลามน้ำแดงเลี้ยงพระ แต่ตัวเองมากินข้ามต้มกับเม็ดสมออยู่ในป่า วันที่เขากินน้ำชาราคาแพงๆนี่ ฉันฉันน้ำต้มจากลำธารที่ต้มด้วยใบไผ่กับกิ่งไผ่น่ะ มันหอมเท่ากับน้ำชาราคาแพงไหม คือใช้เป็นฟืนต้มแล้วกลิ่นมันเข้าไปในชาไง คุณเคยกินน้ำต้มที่ต้มด้วยฟืนไหม ร้อนๆอุ่นๆแล้วมันหนาวนี่ ดึกๆตี 1 ขึ้นมาซด คือฉันอยู่ป่านี้ฉันจะนอนหัวค่ำ

สำราญ – แต่จริงๆต้มน้ำนะ อาจารย์สามารถ กลิ่นมันจะไม่เหมือนกับน้ำต้มธรรมดา

หลวงปู่ – ไม่เหมือน แล้วฟืนแต่ละชนิดก็ไม่เหมือนกันนะ ถ้าทดลองดู ถ้าฟืนจากกลิ่นใบไผ่หรือต้นไผ่นี่จะหอมกว่า แต่ฟืนอื่นๆนี่จะเหม็น

สามารถ – ไม่ต้องมากหรอก คุณลองเอาหม้อดินมาหุงข้าว กับลองหุงด้วยหม้อไฟฟ้า คุณลองดูสิ ไม่เหมือนกันหม้อดินกับหม้อไฟฟ้านี่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นฟืนที่หุงข้าวนี่ก็ไม่เหมือนกัน

หลวงปู่ – เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้คิดว่า ไอ้ที่เราปรุงกันไปเยอะแยะมากมาย ไอ้ที่เราต้องมีไอ้นั่นไอ้นี่มากมาย มันเกิดจากความปรุงทั้งนั้นแหละ แม้ที่สุดน้ำที่ดื่มเข้าไปนี่มันก็เหมือนกัน

สามารถ – แล้วอาหารที่ปรุงแต่งดีๆนี่นะ มันเป็นอาหารลูกกะตาคือดูแล้วสุข

หลวงปู่ – อยู่ป่าฉันข้าวต้มทุกวัน เพราะว่าฉันอื่นเดี๋ยวไม่มีข้าวกิน

สำราญ – ฟังดูแล้วเดี๋ยวหลวงปู่จะกลับไปอีกว่าอย่างนั้นเถอะ

หลวงปู่ – อยากกลับ ถ้าไม่มีภาระนี่ฉันอยากกลับ

สามารถ – คือพระปฏิบัติส่วนใหญ่ถึงแปลกใจว่า ทำไมพระปฏิบัตินี่ท่านถึงไม่นิยมอยู่เมือง เพราะอรัญวาสีนี่นะท่านดูเถอะอยู่ป่าตลอด

หลวงปู่ – มันไปอยู่แล้วมันทำให้มีความรู้สึกว่าโลกเป็นของเราน่ะ

สามารถ – คือมันเป็นอย่างนี้ไหมหลวงปู่ ธรรมชาตินี่มันทำให้คนรู้จักตัวเองมากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้ธรรมชาติมากก็ยิ่งรู้จักตัวเองมากขึ้น

สำราญ – จากสูงสุดสูสามัญว่าอย่างนั้นเถอะ กลับสู่ธรรมชาติ

หลวงปู่ – คุณเคยเห็นผีป่าไหม พวกรุกขเทวดา อากาศเทวดานี่

สำราญ – ไม่เคยครับ

หลวงปู่ – สุดยอดเลย คือปกติฉันอยู่ป่าฉันจะนอนหัวค่ำ นอนทุ่มนึงแล้วก็ตื่นตี 1 แล้วตั้งแต่ตี 1 ไปก็จะปฏิบัติ คือทั้งวันจะปฏิบัติเฉพาะตอนกลางวันนะ ตั้งแต่ตี 1 ถึงตี 5 ถึงเวลานี่เราก็จะเห็นมานั่งร้องขอส่วนบุญ ได้ยินเสียงสัตว์

สำราญ – ได้ยินเสียในโสตประสาทเราหรือมันดังจริงๆครับ

หลวงปู่ – มันเห็นจริงๆน่ะ มันมีความรู้สึกว่าสภาพธรรมที่ปรากฏนี่มันทำให้เราเห็นว่า สัตว์นี่มันเป็นทุกข์จริงๆ มันทรมานจริงๆ มันทุรนทุรายจริงๆ

สามารถ – มันเป็นปกติครับ หลวงปู่ ถ้าจิตสงบนี่นะมันเหมือนกับน้ำนิ่งมันก็เห็นตะกอน พอจิตมันตกตะกอนคือกิเลสมันสงบไง มันก็เห็นอะไรบางอย่าง เหมือนกับน้ำที่สงบปั๊บ มันนิ่งปั๊บมันก็เห็น

สำราญ – ชีวิตเราแต่ละวันควรจะมีเวลาที่สงบกับตัวเองซัก 15 นาทีนะ อาจารย์ ดีไหม

สามารถ – 15 นาทีหรือมากกว่านั้นมันอยู่ที่ 1. จิตสงบจริงหรือเปล่า

หลวงปู่ – เอาสงบสิ ถ้าไม่สงบนี่ 15 นาทีก็ไม่พอ

สามารถ – ถ้า 15 นาทีสงบจริงก็พอนะ ถ้าเป็นขณิกสมาธิ 15 นาทีก็ไม่เบานะ ก็เยอะเหมือนกัน

หลวงปู่ – แต่กลัวมันจะไม่ได้สิ จริงๆแล้วมันไม่ได้ ซัก 5 นาทีก็ไม่ได้

สามารถ – คือสงบนี่หมายความว่าเสียงไม่ผ่านเข้าทางหู

หลวงปู่ – เสียงผ่านแต่ไม่ปรุง หูได้ยินแต่ไม่ปรุง

สำราญ – แล้วจิตที่สงบนี่เป็นยังไง

หลวงปู่ – สงบแบบชนิดที่ไม่ปรุง สภาพธรรมที่ปรากฏรอบกาย เช่น ตาเห็นก็ไม่ปรุง หูฟังก็ไม่ปรุง จมูกดมก็ไม่ปรุง

สำราญ – หูไม่ได้ยินเสียงหรือ

สามารถ – ได้ยิน แต่อาตยภายในกับอาตยภายนอกไม่เกิดผลของกิเลสไง

หลวงปู่ – ไม่เกิดผัสสะ

สามารถ – ไม่ปรุงแต่ง เห็นภาพดีก็เฉยๆ ภาพไม่ดีก็เฉยๆ

หลวงปู่ – มันวางเฉย ถือเป็นอุเบกขารมณ์

สำราญ – หลับตาก็ไม่เห็นอะไรแล้วนี่ครับ

สามารถ – ไม่ใช่หลับตา ลืมตา

หลวงปู่ – มีบทโศลกขึ้นอีกบทนึงว่า “ลูกรัก เมื่อใดที่เจ้าต้องการความสงบ แล้วไปยุ่งกับสิ่งที่เป็นอดีต ทั้งชีวิตเจ้าก็จะตามหาแต่อดีตตลอด แม้กระทั่งนอนหลับก็เป็นอดีต” เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเราหลับตาแล้วเราจะไม่เห็นอดีตนะ เห็นอดีต ในขณะเดียวกันจะไม่เห็นอนาคตก็ไม่ใช่ เห็นอนาคต แต่เป็นอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น ที่เราคิดเอาเอง พูดเองทำเอง มันปรุงแต่งไป

สำราญ – แต่ตอนนั่งสมาธินี่เขาหลับตาไม่ใช่หรือครับ

หลวงปู่ – มันต้องอยู่ในปัจจุบัน

สามารถ – จะหลับตาหรือไม่ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาว่าอายนภายในกับภายนอกกระทบกัน มันไม่เกิดอารมณ์ มันไม่เกิดการปรุงแต่ง

หลวงปู่ – คือคุมจิตไม่ให้รับกับกระทบ

สามารถ – ไม่ฟูขึ้นไม่ยุบลงเหมือนโลกธรรม 8 เห็นของดีก็เฉยๆ เห็นไม่ดีก็เฉยๆ เป็นอุเบกขารมณ์น่ะ นั่นแหละเป็นสมาธิ

หลวงปู่ – แต่มันมีช่วงนึงของจังหวะที่ไปอยู่ป่า เห็นภาพไม่ดีขอพูดหน่อย ภาพไม่ดีก็คือมันมีพวกครูของโรงเรียนต่างๆนี่ เขาพานักศึกษาเนตรนารีกับลูกเสือไปเข้าค่าย เผอิญตรงที่ๆฉันอยู่นี่มันอยู่ลึกเข้าไป เขาก็ยังดั้นด้นเข้าไปกันเพราะว่ามันเป็นน้ำตกนะ ตรงนั้นมันมีอยู่ที่นั้นที่เดียว ไอ้ที่แย่ก็คือภาพที่เด็กนักเรียนผู้หญิงไปปีนหน้าผา และก็ตกน้ำและก็ครูก็กินเหล้า ครูผู้ชายนะกินเหล้า และก็นั่งดูคลิปวิดีโอในโทรศัพท์มือถือ คลิปวิดีโอโป๊น่ะ ดูอวดเด็กนักเรียนผู้หญิงกับผู้ชาย มันเลวร้ายที่สุดเลย

สามารถ – ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดแล้ว

สำราญ – แล้วหลวงปู่ไปเห็นได้ยังไงครับ ไปจ้องมองเขาทำไมครับ

หลวงปู่ – ไม่ได้จ้องมอง ฉันกับเขาก็อยู่กันไกลกันขนาดโน้น ก็โทรศัพท์ตรงนั้นมันรับคลื่นได้ที่ไหนล่ะ มันรับคลื่นไม่ได้น่ะ

สำราญ – เปิดโชว์ให้เด็กดู

หลวงปู่ – ตัวเองก็มือก็ถือขวดเบียร์น่ะ อีกคนก็ถือขวดเบียร์กระป๋อง ฉันมองเห็นและมันเศร้า และก็แกล้งเด็กคือจับเด็กแช่น้ำ และเด็กผู้หญิงน่ะใส่เสื้อผ้าก็โดนน้ำเข้าไปก็ และก็กลายเป็นที่สนุกสนาน ครูก็ไม่ได้สำนึกตระหนัก และเราก็นั่งมองตาเขานะ เราอยากจะให้เขารู้ว่าลูกกะตาเรามองเขา อยากจะให้สำนึกว่านี่คุณหน้าที่อะไร ไม่สนใจอีก

สามารถ – มันก็เป็นเรื่องแปลก คือต้องเข้าใจปัญหาว่าครูปัจจุบันนี่นะ เป็นครูโดยอาชีพและความจำเป็น

หลวงปู่ – คือมันไร้สำนึกจริงๆน่ะ

สามารถ – ไม่ได้เป็นด้วยวิญญาณนะ ไม่ได้เป็นด้วยเหตุสำนึก

หลวงปู่ – จริงๆรู้ด้วยนะเป็นโรงเรียนอะไร สอบถามมาเรียบร้อยแล้ว แต่ก็อย่าไปบอกเขาเลยเดี๋ยวจะเสียใหญ่ แต่ว่าเล่าให้ฟังว่านี่ครูในบ้านเมืองนี้เป็นแบบนี้ คือไม่ใช่ทั้งหมดนะเป็นบางคนนี่ แต่ภาพที่เห็นนั้นนี่ ในขณะที่เด็กไปอยู่ในป่านี่ ครูจะต้องสอนให้เด็กสำนึกถึงความซึมซับบรรยากาศและธรรมชาติของป่า นี่ครูไปสอนให้เด็กไปตัดไม้มาทำเพิงทำอะไร เสร็จแล้วไปก็ไปแบบเฉยๆนะ ฉันจะต้องเดินไปเก็บขยะที่เด็กๆมันทำและก็ครูทำเอาไว้น่ะ ดูสภาพสิ

สำราญ – เดี๋ยวนี้นี่หาครูที่เป็นครูลำบากนะ อาจารย์

สามารถ – มีอยู่แต่ไม่มาก

หลวงปู่ – คือการเข้าป่านี่สำนึกมันต้องมาแล้วว่า นี่ทรัพยากรธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่ต้องอนุรักษ์รักษา มาอยู่ป่าอย่าส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว อย่าทำลายธรรมชาติ แต่มันไม่มีคำสอนพวกนี้เลยน่ะ

สามารถ – ก็มีบางโรงเรียนที่ใช้ธรรมชาติเป็นห้องเรียนและก็เชิงอนุรักษ์ ผมเคยเห็นมีออกทีวีมี แต่ว่ามันเป็นการสอนเพื่อเอามาออกทีวีหรือเปล่าผมไม่ทราบนะ แต่ว่าสอนจริงๆ

หลวงปู่ – คือฉันอยากให้เมื่อใดที่เราพาลูกเสือ พาเนตรนารีเข้าป่า หรือพานักเรียนเข้าป่านี่ เราควรจะสอนให้เด็กสำนึกถึงคุณภาพของป่า ถึงประโยชน์ของป่า ไม่ใช่ไปทำลายสิ่งแวดล้อมแบบนั้น และตัวเองก็อย่าทำตัวเองให้เป็นที่น่ารังเกียจขนาดนั้น แล้วมันไม่ใช่ว่าเวลานอกราชการนะ ไอ้วันธรรมดาวันราชการนี่แหละ แต่เขาดันกินเหล้ากินเบียร์อย่างนี้ แล้วอวดเด็กด้วย

สามารถ – คือปัญหาของความเป็นครูที่ไม่มีวิญญาณของความเป็นครูนี่ ครูไม่ควรทำอะไรที่ไม่ควรทำทุกสถานที่นี่

หลวงปู่ – พอนึกด่าครูเข้าไปแล้วนี่มันโกรธตัวเอง ตำหนิตัวเอง เฮ้ย อกุศลจิตแล้ว เราชักจะไม่ได้เรื่องแล้ว ไม่ใช่พระแท้แล้ว มันจะเป็นพระเทียมแล้วหันไปด่าครู แต่ก็จำไว้แล้วกันแล้วก็มาด่าออกรายการ

สำราญ – เอาล่ะครับ ท่านผู้ชมครับ ขอเวลานิดเดียวครับ อาจารย์ ก็เบอร์เดิมนะครับ 02-6294433 นะครับ มีคำถามหรือข้อคิดความเห็นก็โทรเข้ามา คำถามเก่าๆก็เยอะ และวันตอนมีระเบิดหลวงปู่อยู่ที่ไหนครับ

หลวงปู่ – ตอนระเบิดหรือ ฉันกลับมาวัดแล้ว วันที่ 31 ตอนเย็นฉันกลับมาแล้ว กลับมาก็ได้ยินข่าวระเบิดและมันก็เศร้าใจเหมือนกัน เพราะมันมีความรู้สึกว่าไอ้คนที่ทำนี่มันคงไม่ใช่คนไทย และก็ไม่ใช่คนที่รักในหลวง ไม่ใช่เป็นคนที่ต้องอาศัยแผ่นดินนี้เกิด มันคงจะคนนอกประเทศหรือนอกโลกมาเกิด มาเพียงแค่มาอาศัย

สำราญ – ใครส่งมา นรกส่งมา

หลวงปู่ – พวกมนุสเดรัจฉาโนอะไรอย่างนี้ มนุสเปรโตอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่คนไทย ถ้าเป็นคนไทยเขาจะไม่ทำในวันที่ชาวโลกเขากำลังมีความสุข นี่มันเป็นเรื่องที่กระเทือนกับความรู้สึกของคนทั้งประเทศ มันโหดร้าย

สำราญ – และเป็นที่รู้กันอยู่ว่า วันนั้นจะมีพระราชดำรัสประทานพรปีใหม่ให้กับคนไทย และก็มาชิงระเบิดก่อนอย่างนี้นะ

หลวงปู่ – มันทำให้เกิดความรู้สึกว่าเหมือนกับนี่ไม่เคารพผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง และไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อยู่ในตัว ไร้สำนึกน่ะ

สำราญ – คนทำกับคนบงการนี่ใครจะเลวกว่ากันครับ

สามารถ – ผมว่าคนบงการนะ

หลวงปู่ – ฉันว่ามันก็เลวทั้งคู่แหละ คนบงการถ้ามันไม่ทำ ถ้าคนรับคำสั่งมันมีสำนึกน่ะ

สามารถ – คือมันมี 2 อย่าง คนรับคำสั่งอาจจะมี 1. ทำเพื่อรางวัลค่าจ้าง หรือว่าทำเพื่ออะไรก็ตาม ผลตอบแทน แต่คนสั่งนี่ถามว่าได้อะไร ได้อะไรจากการสั่ง ถ้าตีในแง่เชิงธุรกิจต้องมากกว่าคนทำใช่ไหม

สำราญ – คือผลประโยชน์ต้องมากกว่า

สามารถ – เพราะฉะนั้นควรจะด่าใคร

สำราญ – ด่าทั้งคู่

หลวงปู่ – ถ้าเรามองเรื่องตัวเลขก็ต้องบอกว่าด่าคนสั่ง ถ้ามองโดยผลเสียแล้วนี่โดยขาดสำนึกก็ต้องด่าทั้ง 2 คนนั่นแหละ

สำราญ – ด่าทั้ง 2 คน แต่ว่าขีดเส้นใต้ 2 เส้นที่ตัวบงการ

สามารถ – มันอย่างนี้ครับ หลวงปู่ คนบงการคนเดียวสามารถทำให้คนทำหลายคนพร้อมกันได้ แต่คนทำนี่ทำคนเดียวอันเดียวนะ แต่คนสั่งนี่สั่งคนร้อยก็ได้ สั่งคนพันก็ได้

หลวงปู่ – ไม่รู้มันเกิดมาจากชาติไหน ประเทศไหน โลกไหน ใครเป็นพ่อเป็นแม่ โคตรเหง้าบรรพบุรุษพี่น้องต้องตราหน้าไว้เลย

สำราญ – เมื่อวานนายกฯท่านก็ชี้แจงต่อสภา และก่อนหน้านั้น ผบ.ทบ.ก็ให้สัมภาษณ์บอก คล้ายๆว่าให้คนไทยนี่เตรียมใจรับภัยรูปแบบใหม่ไปอีกระยะหนึ่ง

สามารถ – แปลว่าจะมีอีกใช่ไหม

สามารถ – แปลไทยเป็นไทยว่าจะมีอีก

หลวงปู่ – ไม่ดีเลย เพราะว่ามันเป็นการแสดงออกถึงความ ต้องพูดตรงๆว่าอ่อนแอเกินไปหรือเปล่า อ่อนแอเกินไปกับผู้ที่มีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขอาณาประชาราษฎร์ มันจะอ่อนแอเกินไปหรือเปล่ากับผู้ที่มีหน้าที่ดูแลความเดือดร้อนแร้งแค้นของประชาชน ที่ต้องบอกให้ประชาชนตาดำๆรอรับกรรมกันไปก่อน อย่างนี้ไม่ถูกต้อง

สามารถ – ผมมองเรื่องนี้อย่างนี้ครับ หลวงปู่ คนเฝ้าระวังกับคนทำนี่นะ คนเฝ้านี่เสียเปรียบกว่าคนทำ เพราะว่าคนเฝ้านี่มีโอกาสนอน คนทำนี่มันปรับเปลี่ยนการนอนได้นี่ มันรอจังหวะได้ อันนี้คนทำได้เปรียบนะ

หลวงปู่ – แต่ยังไงก็ยังอยากจะหวังว่า อยากให้คณะรัฐบาลและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ได้สนใจใส่ใจและก็ตื่นตัวกันมากกว่านี้ ในการที่จะดูแลความปลอดภัยให้แก่ทรัพย์สินและก็ชีวิตของประชาชน

สามารถ – แต่ทีนี้ที่ผมสังหรณ์และก็ตั้งข้อสังเกตนิดนึงก็คือว่า ทุกครั้งที่มีการเกิดมันจะมีการบอกว่ารู้แกวแล้ว รู้เค้าแล้ว ถามว่าทำไมรู้แล้วนี่ ทำไมความระมัดระวังทำไมถึงไม่ครอบคลุม

สำราญ – เมื่อวานนี้ท่านนายกฯชี้แจงต่อสภาชัดเจนเลย รู้ การข่าวแจ้งมา บอกว่าอย่างน้อยนี่ 2 จุดวางแน่ คือเวิลด์เทรดกับซีคอน ท่านก็เลยบอกผมเลยต้องประกาศอยู่โยงปีใหม่เฝ้า ไอ้เราก็ถามอยู่ในใจนะ หลังจากท่านพูดเราก็ลุกขึ้นพูดหน่อย ก็เหมือนกับที่อาจารย์สามารถว่านั่นแหละ

สามารถ – ถ้ารู้นี่นะ อย่างน้อยนี่นะการป้องกันควรจะเข้มงวดมากกว่าปกติ ไม่กว่าไม่รู้ถูกไหม แต่นี่เท่าที่ดูนี่มันไม่มีอะไรต่างน่ะ นี่คือข้อสงสัยของผม

สำราญ – ผมเห็นด้วยกับหลวงปู่นะว่า คือจริงๆควรจะเปลี่ยนคำพูดซัดนิดนึง ถึงแม้ว่ารู้ว่าจะมีนะก็ต้องพลิกคำพูดอีกแบบหนึ่ง

หลวงปู่ – อย่าบอกว่าจะเตรียมตัวเตรียมใจรับกรรม มันไม่ถูกต้อง

สำราญ – บอกว่านี่รัฐบาลรู้ดีนะ จะมีคนชั่วคนไม่ดีจะกระทำอย่างนี้อีก ซึ่งรัฐบาลจะไม่ยอมอะไรอย่างนี้นะ ต้องอย่างนี้

หลวงปู่ – คือเรามีรัฐบาลผู้ดีที่เกิดจากคนดีนี่ เราจะรู้สึกอย่างนี้แหละ คือเขาจะไม่ค่อยกล้าด่าคนชั่ว แต่ถึงเวลาก็จะมาโยนความทุกข์ให้แก่คนดีๆอย่างพวกเรา ว่าเตรียมตัวรับกรรมกันต่อไป

สามารถ – และอีกประการตั้งข้อสังเกตก็คือว่า ถ้าจะพูดว่ารู้แล้วควรจะพูดก่อน เพื่อให้คนที่จะทำมันรู้ว่าเขารู้แล้วนะ ก็น่าจะดี

หลวงปู่ – เขาก็กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วนี่ มองได้ 2 แง่ สถานการณ์มันจะตื่นตระหนก

สามารถ – ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องพูดแต่ว่าเตรียม แล้วให้คนทำรู้ว่านี่เขาเตรียมต้อนรับแล้วนะก็ยังจะดี ความคิดผมนะ

หลวงปู่ – คือมีการเตรียมพร้อมเตรียมการเอาไว้บ้าง

สามารถ – เพื่อให้เห็นว่ากำลังเตรียมป้องกัน

สำราญ – เหมือนเมื่อวาน อาจารย์สามารถคงหลับไปแล้ว เช็คทั้งวันครับเรื่องปฏิวัติซ้ำ

สามารถ – ใครบอก ผมนี่เป็นคนโทรเข้าไปหาพวก จน 3 ทุ่มยังมีคนโทรเข้าไป

สำราญ – ผมลองเช็คกับลูกสาวดู นั่งรับกัน 20 กว่าคน ถามว่าจริงหรือเปล่า มีไหม เกิดไหม วางปั๊บๆสุดท้ายต้องปิดโทรศัพท์

หลวงปู่ – แล้วมันเกิดมายังไง ข้อมูลนี้มันมายังไง

สำราญ – คือมันมาตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว หลวงปู่

สามารถ – มันลือมาเรื่อยๆ และสาเหตุการลือเท่าที่ผมจับข่าวได้เมื่อคืน ก็คือมีการสับเปลี่ยนกำลังนั่นเป็นต้นเหตุอันหนึ่ง อีกอันหนึ่งก็คือมาจากระเบิด อีกอันหนึ่งก็มาจากความขัดแย้งระหว่างคนหลายคน ที่ออกมาพูดโต้กันไปกันมา ก็อนุมานว่าน่าจะมีหรือเปล่า อะไรทำนองนี้

สำราญ – และได้ข่าวว่ามีธุรกิจมือถือบางค่ายผสมโรงด้วย โทรกันนี่รวยเละเลยเมื่อคืนนี้

หลวงปู่ – เรื่องคนใหญ่ในบ้านทะเลาะกันไปทะเลาะกันมานี่ คือช้างนี่ถ้ามันตีกันแล้วนี่ที่แหลกก็คือหญ้า เพราะฉะนั้นสงบปากสงบคำกันเสียบ้างก็น่าจะดี มันจะไปเถียงกันทำอะไร เอาชนะคะคานกันด้วยวาจา กันด้วยน้ำลาย ด้วยประโยชน์อะไร ชาตินี้มันจะล่มสลายก็เพราะน้ำลายพวกท่านแหละ

สำราญ – หลวงปู่กำลังบอกว่าทำเยอะๆ พูดน้อยๆหน่อย

หลวงปู่ – มัวแต่มานั่งทะเลาะกันอยู่ และก็อย่าไปต่อปากต่อคำฉอเลาะ ไอ้คนที่หมดอำนาจแล้วก็อย่าแสดงตนว่ากูยังมีอำนาจอยู่ มึงก็ต้องให้ความสำคัญกับกู ต้องสำนึกตระหนักหน้าที่ใครหน้าที่มัน ต่างคนต่างให้การรับผิดชอบของกันและกันไป อย่าว่าเป็นพระเอกตลอดการอะไรอย่างนี้

สำราญ – ใครที่หมดอำนาจไปแล้วนี่ใครครับ

หลวงปู่ – ใครก็ตามทีเถอะ แล้วแต่ที่จะออกมาพูดเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายชั่วโมง

สามารถ – หลวงปู่ มันมีคนประเภทนึงนะ ที่คิดว่าอดีตนี่นำกลับมาเป็นปัจจุบันได้ และบางคนคิดมากกว่านั้นอีกนะ อดีตทำเป็นอนาคตยังได้เลย

หลวงปู่ – แกอายุมากแล้ว อายุตั้ง 70 กว่าแล้ว บางทีแกอาจจะลืมว่าแกปลดเกษียณแล้ว หมดอำนาจแล้ว

สำราญ – คือหมดอำนาจมาหลายคนนะ และพูดเรื่องนี้มาหลายท่านนะ

หลวงปู่ – นั่นแหละ ก็เอาเป็นว่าวางๆกันบ้าง เพื่อให้เกิดความสงบและสมานฉันท์ในชาติ ไหนบอกว่าจะสมานฉันท์ไง ฉันถึงไม่อยากให้ใช้คำว่าสมานฉันท์ เพราะคำว่าสมานฉันท์นี่แปลว่ารวม ฉันนี่แปลว่ากิน

สำราญ – ฉันทะนะครับ นี่ก็คือเรื่องของระเบิดเถิดเทิงเมื่อคืนนะ ตอนเช้านี้นี่เห็นหลายช่องก็สัมภาษณ์ประธาน คมช.นะ ก็ยืนยัน นั่งยัน ตะแคงยัน หมดแล้วว่าไม่มี

สามารถ – แต่ผมก็เชื่อท่านนะครับว่าไม่มีทางมี ไม่มี แต่ทีนี้ว่าทำไมมันถึงลือนี่ผมสงสัยแค่นั้น ไอ้เรื่องเชื่อท่าน ผบ.ทบ.นี่ผมเชื่อว่าไม่มีแน่นอน แต่ถามว่าทำไมมันถึงลือ สงสัยเรื่องลือนี่แหละ แต่เรื่องเชื่อท่านนี่ผมเชื่อ

สำราญ – บังเอิญมันสับกำลังกันด้วยนะ อย่างภาพในมติชนนี่ นายทหารชั้นประทวนจากกองพลทหารราบที่ 3 กองทัพภาคที่ 2 กำลังรอการสับเปลี่ยนกำลังจากจังหวัดอุบล เพื่อไปประกันภาคกิจในเขต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่ามกลางข่าวลือว่าจะมีการปฏิวัติซ้ำเมื่อวันที่ 4 มกราคมโน่น และเมื่อวานแม่ทัพภาคที่ 2 ท่าน พล.ท.สุเจตน์ ท่านก็ยืนยันว่าไม่มี

สามารถ – ผมก็เชื่อว่าไม่มี แต่คนลือนี่นะเป็นเพราะว่าปรากฏการณ์แบบนี้ และมันเกิดการปฏิวัติทุกครั้งหรือเปล่า คือคนนี่ใช้ตรรกะอนุมานจากสิ่งแวดล้อมในอดีตมาหาปัจจุบันนี่ทำได้นะ อดีตเป็นอย่างนี้นะอย่างนั้นหรือเปล่า อย่างนั้นก็โอเคมีเหตุผล

สำราญ – จากขอนแก่นบอกว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นสุภาพบุรุษเกินไป

หลวงปู่ – ฉันถึงได้บอกไงว่าคนดีมากไป พอดีมากไปแล้วพอมันจะพูดอะไร ทำอะไรก็กลัวว่าดอกพิกุลจะร่วง คือไม่กล้าจะประณามอะไรให้มันรุนแรง ฉับพลันทันที คือที่ผ่านมาก่อนหน้านี่นี้เราจะเจอรัฐบาลไม่มีดอกพิกุลน่ะ มีอะไรก็ว่าไปหมด พอมาเจอรัฐบาลดอกพิกุลเข้าก็เลย เอ๊ะ นี่ฉายาใหม่หรือเปล่า ใช้คำว่ารัฐบาลดอกพิกุลนี่

สำราญ – ทำไมดอกพิกุลถึงไม่ร่วงล่ะครับ

หลวงปู่ – ดอกพิกุลนี่มันเป็นของดีของหอม พูดแล้วกลัวจะหลุดออกไปก็เลยไม่อยากพูด กลัวของหอมมันจะหายไปจากตัว

สำราญ – ดอกพิกุลนี่มันไม่ร่วงหรือเปล่า

หลวงปู่ – ร่วง แต่ว่ากลัวที่มันจะร่วง ไม่อยากให้กระทบกระเทือน

สำราญ – ทำไมถึงเปรียบกับดอกพิกุลครับ เปรียบกับดอกอื่นไม่ได้หรือ ที่มาเป็นยังไงครับ

หลวงปู่ – คือดอกพิกุลนี่มันร่วงง่าย พอมันสุกปั๊บมันจะร่วงแล้ว ลมพัดหน่อยก็ร่วงแล้ว เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็อย่าให้มันร่วง คือพยายามจะประคับประคอง

สำราญ – ท่านผู้ชมถามว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะกรรมหรือไม่

หลวงปู่ – ใช่ๆกรรม ก็กรรมใหม่ๆแหละ

สามารถ – คือถ้าแปลว่ากรรมคือการกระทำนี่ใช่แน่ คนไม่ทำจะเกิดได้ยังไงล่ะ ก็เป็นกรรมแต่เป็นปัจจุบันกรรม

หลวงปู่ – เป็นกรรมที่เห็นชัดๆ

สำราญ – เมื่อซักครู่เราคุยถึงเรื่องของครู อาจารย์สามารถบอกว่าเดี๋ยวนี้ครูนี่เป็นโดยอาชีพ แต่ไม่ได้เป็นด้วยจิตวิญญาณ ก็มีอาจารย์จากชลบุรีบอกว่าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

สามารถ – ที่ผมบอกว่าเป็นอย่างนี้นะ ไม่ได้หมายถึงครูทั้งหมดนะ ครูส่วนหนึ่งที่เป็น ที่ผมพูดอย่างนี้ผมเทียบกับครูผมในอดีต เด็กนักเรียนกี่คนรู้จักหมดนะ รู้จักพ่อมันด้วย คนไหนไม่มาตามถึงบ้านเลยนะรุ่นผม ทำไมไม่ไปเรียนป่วยหรือไง

หลวงปู่ – ครูฉันก็เหมือนกัน ตามถึงไร่ถึงนาเลย

สำราญ – ครู อาจารย์ เมื่อก่อนอย่างที่เขาพูดนี่ถูกเลย ก็คือพ่อแม่คนที่ 2 แต่เดี๋ยวนี้ต้องเรียนด้วยความเคารพ ผมนี่ไม่ค่อยเชื่ออาจารย์ เดี๋ยวนี้เราต้องเลือกวางใจนะครูนี่

หลวงปู่ – ยิ่งคุณมีลูกสาวด้วยใช่ไหม แล้วถ้าคุณมีลูกสาวแล้วไปเจอสภาพครูผู้ชายรุ่นๆ กำลังกระดกเหล้ากระดกเบียร์ และมือมีโทรศัพท์คลิปวิดีโออย่างนี้ คุณจะมีภาพอย่างนี้

สามารถ – กลับมาให้ลูกสาวเราหาโรงเรียนใหม่ ง่ายที่สุด ไปไล่ครูมันลำบากน่ะ

สำราญ – ถามว่ามันหายไปไหนครับ เป็นครูด้วยจิตวิญญาณ

สามารถ – มันตอบง่ายมากเลย สมัยนี้นะคนเรียนครูก็เพราะว่าหาเรียนอย่างอื่นไม่ได้ ส่วนหนึ่งนะไม่ใช่ทั้งหมด ก็เลยต้องเป็นครู ตอนเป็นนี่เป็นด้วยความจำเป็นไงครับ ไอ้คนที่เป็นด้วยความจำเป็นนี่วิญญาณไม่มีนะ

หลวงปู่ – ไม่ได้เป็นด้วยใจรัก ไม่ได้สมัครใจเป็น

สามารถ – สมัยก่อนเขาเป็นครูนี่เขาเป็น มีอาชีพอื่นทำแต่เขาไม่อยากทำก็อยากเป็นครู อย่างนั้นมี

หลวงปู่ – และเขาก็พอใจกับอาชีพนี้

สามารถ – และพอใจในความเป็นครูด้วย เดี๋ยวนี้ก็ยังมีหลายท่านที่เป็นอย่างนี้นะไม่ใช่ไม่มี แต่ว่าอาจจะน้อยลง จำนวนนะไม่ได้หมายถึงคุณภาพ

หลวงปู่ – เมื่อก่อนนี้ครูเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติพอๆกับข้าราชการ

สามารถ – มากกว่าครับ หลวงปู่ เทียบงานศพนะ ข้าราชการทั่วไปกับงานศพครู ครูคนไปเผามากกว่า เพราะว่าอาชีพบางอาชีพนี่ใหญ่โตนะ พอตายไม่มีคนไปเผาศพเลยนะ

หลวงปู่ – พูดเหมือนกับที่ฉันพูดกับนักเรียนนายร้อยนะ อย่าเป็นอนุสาวรีย์ที่ตายแล้ว ให้รู้จักเป็นอนุสาวรีย์ที่หายใจได้บ้าง

สามารถ – เพราะบางคนมีอำนาจคนก็เคารพนับถือ วันเกิดเพียบนะ พอตายไม่มีคนซักคนเลย เพราะอะไร เพราะไปด้วยความกลัว

หลวงปู่ – แต่ว่างานศพครูนี่ไม่มีกลัว

สามารถ – ไม่มี มีแต่สำนึกในบุญคุณ สำนึกในความดี

หลวงปู่ – แต่งานศพครูเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนไปหรอก

สามารถ – ก็เพราะว่าครูด้อยลงไง

สำราญ – เอาล่ะครับ ก็มาถึงช่วงท้ายของรายการนะครับ ก็คงเช่นเคยครับศีลรับพรจากหลวงปู่ อยากให้หลวงปู่ได้ให้พรปีใหม่ยาวๆหน่อย

หลวงปู่ – พรปีใหม่ยาวๆ ฉันก็เลยอยากจะบอกท่านผู้ชมและท่านผู้ฟังทางบ้านทุกท่าน รวมทั้งทางสถานีด้วยว่า สถานการณ์และก็สังคมและสิ่งแวดล้อม ณ ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นยุคปีหมูทอง หมูไฟ หมูป่า หมูพญาเลี้ยง หมูขี้ข้าอะไรเลี้ยงอะไรแล้วแต่ แต่ที่แน่ๆเราต้องพึ่งพาอาศัยตัวเราเอง มีปัญญา และก็มีสติตั้งมั่นในการวิเคราะห์ ใคร่ครวญ พิจารณาทุกเรื่องอย่างถ่องแท้ละเอียดรอบคอบ จะเชื่ออะไร จะฟังอะไร จะวิจารณ์พิจารณาอะไร จะพูดจะคุยอะไรก็ให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองไปด้วย ใคร่ครวญตรวจสอบดูให้ถี่ถ้วน เราจะได้ไม่ผิดพลาดบกพร่อง มันเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี สุดท้ายพอกลางปีปลายปีมันจะกลายเป็นดินพอกหางหมู และเราก็จะรู้สึกเสียใจที่คิดถึงมัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเสียใจในอดีต ไม่อยากจะประมาทในอนาคต และก็ไม่อยากจะหลงในปัจจุบัน ก็ต้องมีสติและปัญญา เจริญธรรม

***************************************************************************
กำลังโหลดความคิดเห็น