xs
xsm
sm
md
lg

ปรับ ครม.ต้นปี 50 ล้างภาพ"รัฐบาลปลัด"

เผยแพร่:   โดย: "เซี่ยงเส้าหลง" และทีมข่าวการเมือง

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน - พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
•• ต้องถือว่าการปาฐกถาพิเศษเรื่อง อนาคตประเทศไทย อนาคตคมช. เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2549 เป็นสปีชที่ดีที่สุดของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และเป็นเรื่องที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จะต้อง รับฟัง เพราะเป็น ผู้ปฏิบัตินโยบายโดยตรง ความเห็นตรงไปตรงมาของ “เซี่ยงเส้าหลง” ณ บรรทัดนี้ก็คือท่านจะต้องเร่งรัดพิจารณา ปรับคณะรัฐมนตรี เพิ่มเติม มือการเมือง ที่ ทำงานเป็น เข้าไปภายใน มกราคม 2550 จะเป็นใครก็สุดแท้แต่ท่านจะพิจารณาแต่อย่าใช้ คนเก่ง – ที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่เพียงสถานเดียว ล้างภาพรัฐบาลปลัด(กระทรวง) ให้ได้

•• จำได้ว่าเคยกราบเรียน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไว้ ณ ที่นี้แล้วครั้งหนึ่งว่าในรอบ 4 – 5 ปีที่ผ่านมาหรือย้อนไปถึง 8 ปีนับแต่ถือกำเนิด พรรคไทยรักไทย ประชาชนไทยทั้งในชนบทและเมืองหลวงได้ ลิ้มรสความแปลกใหม่ทางการเมือง มาจนเริ่มจะ ชิน, ติด เริ่มจาก ประชาชนในเมืองหลวง ชินในวิธีการบริหารประเทศที่ กระฉับกระเฉง, ถือเป้าหมายเป็นหลัก พูดง่าย ๆ คือวิธีการแบบ นักธุรกิจ ไม่ใช่วิธีการแบบ ข้าราชการประจำ ในขณะที่ ประชาชนในชนบท ชินในนโยบาย ประชานิยม ในรอบหลายปีมานี้รัฐบาลชุดที่ผ่านมาแม้จะมี เจตนาไม่บริสุทธิ์ แต่ก็ได้ทำให้คนชนบทจำนวนมากเห็นว่า เป็นรัฐบาลชุดแรกที่กำหนดนโยบายเพื่อคนจนในชนบท ทั้ง 2 ส่วนนี้เสียหายเพราะ สุดโต่งเกินไป, โกงกินมโหฬารเกินไป และ เหิมเกริมเกินไป แต่ประชาชนไม่ได้คาดหวังจะให้การโค่นล้มรัฐบาลชุดที่ผ่านมานำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชนิด ตรงกันข้าม, ย้อนยุค ต้องยอมรับเนื้อนาดินอันอุดมที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของ พรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือความล้าหลังและความไม่มีประสิทธิภาพของ รัฐราชการ และบรรดา พรรคการเมืองที่อิงแอบรัฐราชการ ถ้ารัฐบาลใหม่และระบอบการเมืองใหม่หลังการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้สร้างความเชื่อว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง ได้ในวันในพรุ่งของต้นปี 2550 ระยะเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ครั้งนี้จะ สั้นกว่า ลองเปรียบเทียบกันเล่น ๆ จะพบว่า รัฐบาลหลังรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 นั้น ได้รับการยอมรับสูงกว่า รัฐบาลหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ครั้งนี้ หลายเท่า แต่ที่ พังครืน ลงเมื่อ พฤษภาคม 2535 ก็ไม่ใช่เพราะประชาชน เบื่อรัฐบาลชั่วคราว ที่มีนายกรัฐมนตรีในฝันอย่าง อานันท์ ปันยารชุน หากแต่เพราะยอมรับไม่ได้กับ ความพยายามสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารชุดนั้น ระยะเวลา 1 ปีเท่า ๆ กัน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จะทำได้ดีเท่ากับ อานันท์ ปันยารชุน หรือไม่ดูจากหน้าตาของ รัฐมนตรี, ผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง และผลงานในช่วงเดือนเศษ ๆ ที่ผ่านมาแล้วเชื่อว่า จะทำได้ไม่ดีเท่า น่าเป็นห่วงสถานการณ์ในรอบ 1 ปีจากนี้ไปเพราะค่อนข้างชัดเจนว่า คนชั้นกลางในเมืองหลวงจะไม่ประทับใจ พร้อม ๆ กับที่ คนชนบทยังขึ้นอยู่กับนักการเมืองในระบบอุปถัมภ์ ในขณะที่ การปฏิรูปการเมือง ดูเหมือนจะเริ่มเห็นเค้าลางแห่ง ข้อขัดแย้งในประเด็นสำคัญ ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ยิ่งมาเจอ รัฐมนตรีฉ่วยสื่อ ที่เสนอร่างกฎหมาย สร้างม็อบนักศึกษาทั่วประเทศ คงเละตุ้มเป๊ะกันน่าดูในช่วง พฤษภาคม 2550 เป็นต้นไป โปรดเร่งแก้ไขโดยพลัน

•• ที่พูดว่า รัฐบาลปลัด หมายถึง ระบบการทำงานโดยรวม ไม่ได้หมายถึง ปลัดกระทรวงคนใดคนหนึ่ง ที่อาจจะ ดี, โดดเด่น เพราะในระยะสองสามเดือนมานี้คนที่ พูดได้โดนใจที่สุด คือ จรัญ ภักดีธนากุล ที่ขึ้นมาเป็น ปลัดกระทรวงยุติธรรม คงไม่ต้องย้อนยกตัวอย่างนะ

•• ท่าทีที่ ระมัดระวังประเด็นสิทธิเสรีภาพในมุมมองของโลกตะวันตก นั้นเป็นเรื่องที่ ดี แต่ที่จะต้องคำนึงให้มากก็คืออย่าให้ มากเกินไปนี่คือการรัฐประหารที่โดยเนื้อหาแล้วคือ การใช้อำนาจเผด็จการชั่วคราว 1 ปี – เพื่อสร้างประชาธิปไตยในเนื้อหาที่แท้จริงอย่างยั่งยืนให้ดำรงอยู่ต่อไปนานเท่านาน จะต้องคำนึงถึง เป้าหมายหลัก ที่แถลงไว้ใน แถลงการณ์ฉบับที่ 1 นับแต่วินาทีที่ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน, พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตัดสินใจเป็น หัวหน้าคณะรัฐประหาร, นายกรัฐมนตรี ก็เท่ากับว่าท่านกระโจนเข้าสู่ การเมืองขั้นสูงสุด ไม่ว่าก่อนหน้านี้ท่านจะชอบหรือไม่ชอบการเมืองอย่างไรก็ตามแต่บัดนี้ทั้ง 2 ท่าน มิอาจไม่เล่นการเมือง, มิอาจไม่เชี่ยวชาญการเมือง เพราะถ้าท่านยังคงไม่เล่นและไม่เชี่ยวชาญ ความโหดร้ายของการเมืองก็จะหันมาเล่นงานท่านโดยไม่ปรานี และนอกจากตัวท่านแล้วเป้าหมายหลักที่จะถูกเล่นงานโดยไม่ปรานีอีกก็คือ ภารกิจอันใหญ่หลวงที่ท่านอาสาเข้ามาแบกรับ ซึ่งก็คือ “...ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข.” ถ้าทั้ง 2 ท่านพลาดท่านจะ ไม่พังทลายเพียง 2 คน แต่จะ พาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขพังทลายลงไปด้วย นั่นหมายถึง ราชบัลลังก์ จะตกอยู่ใน ภยันตรายใหญ่หลวง พูดง่าย ๆ ว่าวันนี้ไม่ว่าการตัดสินใจของท่านหรือระดับสติปัญญาระดับความรู้เท่าทันสถานการณ์จะไม่ได้ ผูกพันตัวท่าน 2 คน แต่จะ ผูกพันอนาคตของชาติและราชบังลังก์ ขอให้ระลึกถึงเสมอว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเพียงใดที่ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งท่านทั้งสองให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและนายกรัฐมนตรี และล่าสุดก็ทรงมีกระแสพระราชดำรัสให้สังคม เห็นด้านดีของผู้อาวุโส ภารกิจหลักของท่านทั้งสองจึง ต้องสำเร็จ, ต้องลุล่วง ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับ ทรยศต่อหน้าที่, ทรยศต่อภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ และ ปฏิบัติตนไม่สมกับที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย ทบทวนดูให้ดีว่านี่ไม่ใช่ การยึดอำนาจทั่ว ๆ ไป และนี่ไม่ใช่ การล้มรัฐบาลประชาธิปไตย แต่นี่คือ การขัดขวางทรราชยุคใหม่ที่มีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่การล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอได้โปรดเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าประชาชนชุดแรก ๆ ที่พากันมา ชื่นชม ก็เพราะ ชื่นชมที่ทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร – ก่อนที่ประชาชนจะต้องเสียสละดำเนินการในขั้นสุดท้าย ท่านต้อง ธำรงเจตนารมณ์หลักไว้ให้มั่น ทำทุกวิถีทางเท่าที่จำเป็นอย่าง กล้าหาญ, เสียสละ และ ชี้แจงประชาชนอย่างตรงไปตรงมา อย่าสักแต่ ทำตนเหมือนรังเกียจการเมือง ให้น่าหมั่นไส้

•• อย่าให้ความกังวลในเรื่อง การยอมรับจากโลกตะวันตก มาเป็นพันธนาการ จำกัดมาตรการที่จำเป็น ควรสู้หน้าอย่างกล้าหาญด้วยการชี้ให้เห็นถึง ลักษณะเด่น, ลักษณะพิเศษ ของสิ่งที่นำมาเป็นชื่อของคณะผู้ก่อการ “...ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข.” ซึ่งเป็น ลักษณะเฉพาะของชนชาติไทย จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ โลกตะวันตกยอมรับได้ในทันที ตราบจนเมื่อมี การเลือกตั้งทั่วไป นั่นแหละพวกเขาจึงจะ เริ่มยอมรับ แต่ถ้าไปจำกัดมาตรการที่จำเป็นมากไปจนทำอะไรไม่ได้เต็มที่

•• ประเด็นที่พูดมาข้างต้น “เซี่ยงเส้าหลง” จับทางได้ว่า คมช.สำนึกแล้ว จึงทำให้ อึดอัด เพราะผลงานที่ปรากฏยังไม่อาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลสำนึกแล้ว ก็เลยทำให้ต้องออกมา พูดมาก ทั้ง ๆ ที่ทางที่ถูกแล้ว ไม่ควรจะต้องพูด เพราะจะดูเป็นว่า ทหารยังกุมอำนาจอยู่ นี่คือสถานการณ์ที่น่าสนใจ

•• ทั้ง ๆ ที่ลักษณะพิเศษของคณะรัฐประหารชุดนี้ควรจะเป็นว่าเมื่อ แปลงร่าง แล้วไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะมา ครอบงำรัฐบาล หรือบำเพ็ญตนเป็น เปลือกหอย (หรือ อ่างหอย) เพราะบังเอิญว่า นายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ชื่อ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ท่านเป็น หัวหน้าเก่า, นายเก่า หรือ อดีตผู้บังคับบัญชา ของหัวหน้าคณะรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ คนนี้ยังไม่ใช่ คนนอก, คนกลาง แต่เป็นคนที่ รู้เห็นและเข้าใจวิกฤตร้ายแรงที่สุดของบ้านเมืองมาโดยตลอด อย่างน้อยที่สุดท่านก็ ได้รับผลกระทบโดยตรง เมื่อ ปี 2545 ถูกปลดจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. หลังจากปฏิบัติหน้าที่แข็งขันในการปกป้องอธิปไตย ชายแดนไทย-พม่า บริเวณ ดอยลาง สรุปแล้วโดยฐานภาพทั้งในอดีตและปัจจุบันทั้งส่วนรวมและส่วนตัวจะทำให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีอำนาจมากที่สุด ทำให้เกิดความหวังขึ้นมาว่า 1 ปีนับจากนี้ไป ประเทศไทยจะเกิด การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ขึ้นมาได้ให้คุ้มค่ากับ ต้นทุน ที่จำเป็นต้องทุ่มลงไปใน การตัดสินใจรัฐประหาร เพื่อให้ไปเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่บัญญัติไว้ชัดเจนใน คำปรารภ ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวอย่างตรงไปตรงมาว่า “...ก็โดยปรารถนาที่จะแก้ไขความเสื่อมศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน ความไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ทำให้เกิดการทุจริตและประพฤติมิชอบขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยไม่อาจหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ อันเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงทางการเมืองการปกครอง.” น่าเสียดายว่าจนกระทั่งวันนี้ท่านยัง เปล่งศักยภาพได้ไม่เต็มที่ ขอเอาใจช่วยให้ คืนฟอร์ม โดยเร็ว
กำลังโหลดความคิดเห็น