“คลื่นใต้น้ำ” ซัด “คมช.” ไม่ลดละ จัดชุมนุมทางการเมืองท้าทายอำนาจกลางสนามหลวง พร้อมเปิดเวทีปราศรัยด่ากราด “คมช.-รัฐบาลสุรยุทธ์” กล่าวหาว่าทำทุกอย่างเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่หนำใจยังปราศรัยจาบจ้วงถึง “ป๋าเปรม” ด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยไร้เงา “ทหาร-ตำรวจ” เข้าสังเกตการณ์แม้แต่คนเดียว
วันนี้ (25 พ.ย.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มประชาชนเรียกตัวเองว่า “กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ” ตั้งเวทีขนาดเล็กเพื่อชุมนุมทางการเมืองภายในบริเวณสนามหลวง ฝั่งธรรมศาสตร์ โดยมีประชาชนให้ความสนใจเข้าฟังปราศรัยราวๆ ร้อยกว่าคน
ทั้งที่แกนนำผู้ชุมนุมได้ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยโจมตีคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ซึ่งในปัจจุบันเปลี่ยนสถานภาพเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในการเข้ารัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าที่ทำการยึดอำนาจก็เพื่อผลประโยชน์ ไม่ได้ทำเพื่อชาติอย่างที่กล่าวอ้าง อีกทั้งนโยบายที่ทำอยู่ก็มีการทุจริตทางนโยบายอย่างชัดเจนอีกด้วย
แกนนำผู้ชุมนุมยังได้กล่าวปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่าทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องตนเอง และตั้งพวกพ้องเข้าไปเป็นกรรมการบอร์ดในรัฐวิสาหกิจต่างๆ รวมทั้งยังได้กล่าวโจมตีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการด้วยเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หนึ่งในแกนนำที่อ้างตัวว่าชื่อ “รัชภูมิ” ได้ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยจาบจ้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อย่างรุนแรง เสียๆ หายๆ หลายครั้งหลายหน โดยส่วนใหญ่ได้กล่าวหา พล.อ.เปรม ทำทุกอย่างเพื่ออำนาจของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ระหว่างปราศรัยได้มีการตอกย้ำเสมอว่าพวกตนเองนั้นเป็นกลุ่มคนที่มาโดยอุดมการณ์ ไม่ได้ถูกจ้างมา และมีการถ้าทายว่าไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ซึ่งถ้ากลัวก็คงไม่มาร่วมตัวกัน รวมทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของกลุ่มเกือบจะตลอดเวลา รวมทั้งได้มีการนำริชแบนด์สีดำและเสื้อสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มมาวางขายด้วย พร้อมกับประกาศอยู่ตลอดเวลาว่าการชุมนุมวันนี้ได้มีการถ่ายทอดสดให้ทั่วโลกผ่านทางเว็บไซต์แห่งหนึ่งด้วย และจะมีการเปิดให้โหวตสำหรับคนที่ไม่ต้องการรัฐบาลจากเผด็จการชุดนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอดการชุมนุมไม่พบว่ามีคนของรัฐทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนายทหารเข้าจับตาดูความเคลื่อนไหว หรือให้การดูแลอำนวยความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้น
