ชื่อ เหยียนปิน อาจจะไม่คุ้นหูคนทั่วไป ทว่าสำหรับแฟนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการฯ ชื่อนี้คงเป็นที่คุ้นเคยดี เพราะนายสนธิได้ชำแหละตัวตนและสายสัมพันธ์นายเหยียนปินกับรัฐบาลทักษิณหลายครั้ง โดยเฉพาะใน รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9 ที่สวนลุมพินี เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2548 ที่ผ่านมา
หลังจากนายสนธิส่งสัญญาณเตือนถึงอันตรายของการที่รัฐบาลมีนายเหยียนปินเป็นนายหน้าและนอมินี ไม่นานก็ปรากฏออกมาว่า การที่รัฐบาลไทยรักไทยนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมคบกับนายเหยียนปินก็เพื่อปล้นชาติปล้นแผ่นดินเป็นวัตถุประสงค์หลัก เห็นได้จากข่าวปล้นโปแตซ 4 หมื่นล้าน โดยมีขบวนการที่รัฐบาลใช้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเปิดทางให้บริษัทของนายเหยียนปิน เข้ามาถือหุ้นใหญ่จำนวนร้อยละ 49 ในบริษัทร่วมทุนเหมืองแร่โปแตช ที่ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2549 ที่ผ่านมา ยังไม่นับกรณีการก่อสร้างโรงงานยาสูบที่ จ.เชียงใหม่ ที่มีผู้ออกมาแฉว่าราคาแพงเกินปกติไปหลายพันล้านบาท และกลายเป็นเรื่องค้างเติ่งมาจนปัจจุบัน (อ่านข่าว : เหยียนปินฮุบโปแตซ 4 แสนล้าน)
เหยียนปิน (严彬) ได้สัญชาติไทยและมีชื่อไทยว่า ชาญชัย รวยรุ่งเรือง ปัจจุบันอายุ 52 ปี นายสนธิตั้งสมญานามให้ว่า "นายหน้าค้าไทยรักไทย” เกิดที่มณฑลซานตง อยู่ในครอบครัวลูกกำพร้าและอยู่ในคณะงิ้วแห่งหนึ่ง ในมณฑลซานตง เขาโตและได้รับการศึกษาโตที่เมืองจีน ก่อนจะมาถือสัญชาติไทยโดยการช่วยเหลือของ พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร (ยศเมื่อปี พ.ศ.2527)
"มีข่าวน่าสงสัยว่าเหยียนปินนี่ได้สัญชาติเพราะสวมหรือเปล่า โดยได้สัญชาติไทยที่ดอยแม่สลอง จ.เชียงราย มีบัตรประชาชนคนไทยด้วยนะ โดยในช่วงแรกอาศัยอยู่กับบ้านผู้สูงอายุคนหนึ่งแล้วทำตัวเป็นบุตรบุญธรรม พอได้สัญชาติไทยซึ่งไม่รู้ว่าได้ยังไง ก็มาทำธุรกิจชื่อบริษัท หัวปิน กรุ๊ป ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว การค้าขายระหว่างประเทศ" นายสนธิ แฉกลางรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9
ปี 2538 นายเหยียนปิน กลับไปทำธุรกิจที่เมืองจีนโดยเป็นตัวแทนเครื่องดื่มกระทิงแดง สร้างอาคารหัวปิน กลางมหานครปักกิ่ง ทำสวนสนุก ทำสนามกอล์ฟ และในปี 2548 นี้เองจากการจัดอันดับของสำนักงานบัญชีที่เซี่ยงไฮ้ ทั้งๆ ที่มีสัญชาติไทย นายเหยียนปินถูกจัดอันดับเป็นเศรษฐีจีนอันดับ 30 โดยมีทรัพย์สินรวมกันถึง 3,500 ล้านหยวน หรือประมาณ 17,500 ล้านบาท
ในจำนวนนี้ ไม่รู้ว่าได้มาจากการสูบเลือดสูบเนื้อคนไทยไปเท่าไหร่...
การทำธุรกิจช่วงหลายปีที่ผ่านมา เหยียนปิน ชอบพูดบนโต๊ะกินข้าวตลอดเวลาว่า ตนเองเป็นผู้ที่ผลักดันนโยบายในประเทศไทยได้ ทั้งยังชอบเชิญผู้หลักผู้ใหญ่พรรคไทยรักไทยไปที่สนามกอล์ฟตัวเองเพื่อเลี้ยงรับรองกันเป็นประจำ
ที่สำคัญในปัจจุบันทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงปักกิ่งยังได้เช่าพื้นที่ชั้นล่างขนาด 500 ตารางเมตร ตึกกระทิงแดง (ตึกหัวปิน) ของนายเหยียนปินเพื่อขยายฝ่ายการกงสุล ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 โดยต้องเสียค่าเช่าเดือนละ 8 แสนบาท หรือปีละ 9.6 ล้านบาท ... ร่ำลือกันว่านี่ก็เป็นผลประโยชน์หนึ่งจากคอนเนคชั่นที่นายหน้าค้าไทยรักไทยผู้นี้มีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าแปลกใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับปฏิเสธว่าไม่รู้จักนายเหยียนปิน กระทั่งนายสนธิ แฉหลักฐานว่านายกฯโกหก เพราะมีภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวปรากฏให้เห็นว่า นายเหยียนปิน และพ.ต.ท.ทักษิณรู้จักและพูดคุยกัน ทั้งในงานเลี้ยงฉลองครบรอบ 83 ปี ของการตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อปี 2547 และที่สนามกอล์ฟของนายเหยียนปินเองเมื่อปี 2548 ที่สนามกอล์ฟดังกล่าวยังมีนายสุชน ชาลีเครือ ประธานสภาฯ ผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีร่วมอยู่ด้วย แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เคยชี้แจง!!
พฤติกรรมดังกล่าว แสดงให้เห็นสายสัมพันธ์หัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายสุชน และนายเหยียนปินเป็นอย่างดี
ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาดใจ คือการที่มีมหาเศรษฐีจากประเทศจีนคนหนึ่งรู้จักกับนายกรัฐมนตรีประเทศไทย หรือประธานรัฐสภา และนักการเมืองอีกมากมาย หรือจะเป็นนายหน้าขายบริษัทใหญ่ๆ ให้บริษัทจีน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่น่าแปลกใจตรงที่ว่า นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่เคยมีการตรวจสอบว่าคนคนนี้ปลอมแปลงสัญชาติหรือไม่ นายเหยียนปิน ยังได้อาศัยการรู้จักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจและผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะในเมืองไทย หลายธุรกิจหากินบนความเดือดร้อนของประชาชนและเกษตรกรไทย
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2549 มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งกลายสภาพเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีไปแล้วระบุว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ พำนักอยู่ในกรุงปักกิ่งของจีน หลังจากเดินทางไปถึงจีนเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี แต่ได้รับการปฏิเสธ
ทั้งนี้แหล่งข่าวยังระบุด้วยว่า การเดินทางไปประเทศจีนครั้งนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีนายเหยียนปิน ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์กับอดีตนายกรัฐมนตรีมานาน และเคยถูกกล่าวหาว่าได้สัญชาติไทยเป็นผู้เลี้ยงดูปูเสื่อ!