xs
xsm
sm
md
lg

ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม - 'อากู๋' จอมเชียร์แขก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้เฮียผมขาว 'อากู๋' ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แห่งบริษัทแกรมมี่ฯ หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการบันเทิงบ้านเราจะรู้จักมักจี่และมีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 มาตั้งแต่เมื่อครั้งดีลธุรกิจเคเบิลทีวี 'ไอบีซี' ร่วมกัน หรือจะผ่านทางการเป็นเพื่อนสนิทกับเสี่ย "พันธ์เลิศ ใบหยก" รุ่นน้องร่วมสถาบันนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ และหนึ่งในนายทุนของพรรค "ไทยรักไทย" ทว่าเหตุการณ์ที่ทำให้สื่อมวชนไทยหันมาจับตามองความสัมพันธ์ของ 'แม้ว-กู๋' มากขึ้นก็เมื่อครั้งที่นายใหญ่แกรมมี่ฯ อาสารับไม้ต่อจากอดีตนายกฯ ออกมารับหน้าเสื่อพูดเรื่องการซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล 'ลิเวอร์พูล' ในช่วงปี 2547

ตอนนั้นใครๆ ก็รู้ว่าข่าวการซื้อหุ้นสโมสรชั้นนำของอังกฤษนี้เป็นข่าวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกลบกระแสการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ส่วนการรับไม้ต่อของอากู๋ก็ทำเพื่อที่จะพยายามย้ำให้เห็นว่าเรื่องที่ทักษิณพูดนั้นเป็นความจริง ...

ต้องยอมรับว่าการปล่อยข่าวเรื่องการซื้อหุ้นนี้ได้กลายเป็นโด่งดังข่าวไปทั่วโลก โดยมีการให้รายละเอียดออกมาเป็นระยะๆ ถึงความคืบหน้าจากตัวอดีตนายก ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้บริหารระดับสูงของสโมสรลิเวอร์พูลบินมาพบเขาที่ทำเนียบ แผนจะเข้าไปซื้อหุ้นประมาณร้อยละ 30 ส่วนเม็ดเงินนั้นยังยังคิดไม่ออกว่าจะใช้เงินรัฐบาลหรือเงินส่วนตัว แถมยังคุยโวไปไกลถึงขนาดที่ว่าจะใช้แบรนด์ของลิเวอร์พูลมาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติเพื่อใช้ช่วยเหลือคนจน

... แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาสักอย่าง!

ด้วยความสนิทแนบแน่นกระทั่งมีโอกาสได้ไปกินข้าวด้วยกันที่ชั้น 7 ตึกแกรมมี่ฯ อยู่เป็นประจำทำให้ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาของรัฐบาลทักษิณเป็นที่น่าสังเกตว่าบริษัทแกรมมี่ฯ ของ 'อากู๋' มีงานจากรัฐบาลเข้ามาอยู่ตลอด มีภาพอากู๋ถ่ายคู่กับทักษิณหลายต่อหลายงาน ในงานคอนเสิร์ตดังๆ ของแกรมมี่ ส่วนทักษิณเองก็มักหอบหิ้วเอาครอบครัวไปร่วมงานโน้นงานนี้ด้วย ตลอดจนงานบันเทิงหรือคอนเสิร์ตช่วยชาติของรัฐบาลก็มักมีชื่อของแกรมมี่ปรากฏอยู่ทุกครั้ง เช่นเดียวกับการจัดงานใหญ่ของรัฐบาล บริษัทที่เข้ารับผิดชอบงานจัดการ ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็น 'อินเด็กซ์ อีเวนท์' ซึ่งมีจีเอ็มเอ็มฯ ถือหุ้นใหญ่อยู่

เพลงชาติไทยเวอร์ชัน "แกรมมี่"

ประเด็นที่ฮือฮาและชวนกระทบความรู้สึกของคนไทยมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คงจะเป็นเรื่องของ "เพลงชาติไทยเวอร์ชันแกรมมี่" 6 เวอร์ชัน

เรื่อง "เพลงชาติไทยเวอร์ชันใหม่" นี้เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2543-2546 จากภาคส่วนของทหารที่ต้องการให้ศึกษาเพื่อหาทางเปลี่ยนแปลงเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มากขึ้นกว่าเดิมพร้อมๆ ในเดือนธันวาคม 2545 พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์ ปลัดกระทรวงกลาโหมที่ออกมาแสดงความต้องการที่จะ "ปัดฝุ่นเพลงชาติไทย" ด้วยการระดมนักร้องยอดนิยมจากทุกค่าย เฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นขวัญใจวัยรุ่นมาร่วมร้องเพลงชาติไทย

ข่าวนี้ฮือฮาตรงคำสัมภาษณ์ที่ระบุว่าเป็นการดำเนินตามแนวคิด สร้างสามัคคีขึ้นในชาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้รับการตอบรับแล้วจากค่ายแกรมมี่ ทว่าเรื่องก็เงียบหายไปเพราะไม่มีผู้ขานรับเท่าที่ควร กระทั่งปรากฏเป็นข่าวอีกที ก็เมื่อแกรมมี่ทำ "เพลงชาติไทยเวอร์ชันใหม่" เสร็จเรียบร้อย และเตรียมที่จะให้รัฐบาลประกาศใช้แล้ว

อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่เป็นข่าวออกมา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่คำสั่งจากรัฐบาล เป็นเรื่องของทางกองทัพบกเท่านั้น ในขณะที่กระแสต่อต้านเพลงชาติของแกรมมี่ก็เกิดขึ้นอย่างวงกว้าง แม้บางส่วนจะพยายามออกมาบอกให้เปิดใจ ทว่าก็เป็นส่วนน้อยมากๆ ที่น่าสนใจก็คือจากผลสำรวจความเห็นของประชาชนโดยศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลปรากฏว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 79.3 ไม่เห็นด้วยกับการนำเพลงชาติไทยชุดใหม่มาใช้แทนของเดิม, ประเด็นเรื่องการมีเพลงชาติไทยหลายรูปแบบเพื่อไว้เปิดในโอกาสต่างๆ กันนั้น ร้อยละ 79.6 ไม่เห็นด้วย ขณะที่ร้อยละ 82.1 ไม่เห็นด้วยที่จะมีการมอบหมายให้บริษัทใดบริษัทหนึ่งเป็นผู้จัดทำเพลงชาติไทยขึ้นมาให้คนในชาติใช้ และร้อยละ 71.9 ระบุว่าชอบเพลงชาติไทยแบบดั้งเดิมมากกว่า

หลังจากที่เป็นข่าวอยู่หลายวันกระทั่งมีการส่งเรื่องไปให้กระทรวงวัฒนธรรมก่อนที่ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหมจะออกมาระบุว่าการปรับปรุงเพลงชาติเพื่อรณรงค์เรื่องชาตินิยมเท่านั้น ทั้งนี้เมื่อคณะกรรมการไม่เห็นด้วยและให้ใช้เพลงชาติเดิมต่อไปก็ถือว่าเรื่องนี้ยุติลง ด้วยเหตุนี้ 6 เพลงชาติเวอร์ชันแกรมมี่ก็เลยต้องม้วนเสื่อไป

'กู๋' กับปฏิบัติการเคลียร์สื่อ

ที่ดูจะเกรียวกราวและตอกย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างอากู๋กับทักษิณ ชนิดแนบแน่นก็คือในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพยายามเข้าไป "ครอบสื่อ" เริ่มตั้งแต่กรณีการสั่งปลด "เมืองไทยรายสัปดาห์" ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ที่มี "สนธิ ลิ้มทองกุล" เป็นผู้ดำเนินรายการโดยมีเนื้อหาซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีว่าเป็นรายการเดียวที่เปิดโปงและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างถึงพริกถึงขิง ซึ่งต่อมาในภายหลังช่วงเวลาของ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ก็ได้ตกเป็นของรายการ "ดิ ไอคอน ปรากฎการณ์คน” ผลิตโดยบริษัท ดี ทอล์ก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ฯ นั่นเอง

อากู๋กับทักษิณสร้างความฮือฮาอีกครั้งระหว่างที่ฝ่ายหลังได้ออกเดินทางไปต่างประเทศช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 อากู๋ก็เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) หรือ MATI จำนวนร้อยละ 32 และบริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) หรือ POST จำนวนร้อยละ 23 ซึ่งจะส่งผลให้หนังสือพิมพ์ทั้ง 5 ฉบับ ไม่ว่าจะเป็น มติชน, ข่าวสด, ประชาชาติธุรกิจ, Bangkok Post, และ Post Today ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลการบริหารของจีเอ็มเอ็มมีเดียทั้งหมด

เรื่องนี้ก่อให้เกิดเสียงคัดค้านเป็นมากมายโดยเฉพาะกับบรรดาคนข่าว สื่อมวลชนทั้งหลาย หรือแม้แต่พนักงานบางส่วนของมติชนเองอันเนื่องมากจากเป็นที่รู้กันดีว่าระดับความสนิทของอากู๋กับทักษิณนั้นมีมากน้อยเพียงไร แถมนายใหญ่แกรมมี่ยังออกปากในทำนองว่า เหตุที่ตนเองเข้ามาทำธุรกิจตรงนี้ก็เพราะอยากจะทำหนังสือพิมพ์ให้รัฐบาลอ่านนั่นเอง!!!

แม้จะมีเสียงติติงถึงความเหมาะสม และถึงแม้จะถูกมองว่าเป็นนอมินีให้กับอดีตนายกฯ ทว่านายใหญ่แกรมมี่ก็ไม่สนเดินหน้ายืนยันว่าการเข้ามาซื้อหุ้นมติชน-โพสต์นั้นเป็นความชอบส่วนตัว ไม่ได้เป็นตัวแทนใคร พร้อมๆ กับการยืนยันว่าการเข้ามาของแกรมมี่จะไม่มีการถอนหุ้นออกจากตลาด ไม่ปลดพนักงาน ไม่แตะต้องการทำงานอย่างแน่นอน

ภายหลังการออกมาคัดค้านอย่างหนักของสังคม รวมถึงการประณามของเหล่าคนสื่อการเข้าไปซื้อหุ้นมติชนก็ยุติลงด้วยการล่าถอยของแกรมมี่ฯ โดยยอมลดสัดส่วนการถือหุ้นมติชนลง อย่างไรก็ตามมีการตั้งข้อสังเกตกันว่าการเข้ามาซื้อหุ้นในครั้งนี้จริงๆ แล้วจุดมุ่งหมายนั้นอยู่ที่บางกอกโพสต์ต่างหาก นอกจากนี้ยังมีบางส่วนได้ออกมาแนะด้วยว่าการกระทำในครั้งนี้ของอากู๋น่าจะถูกตรวจสอบด้วยว่าเป็นการปั่นหุ้นหรือไม่?

นอกจากเรื่องหุ้นของมติชนแล้ว บ.แกรมมี่ฯ ยังเข้าไปมีส่วนพัวพันกับค่ายเนชั่นอีกด้วย เมื่อมีข่าวลืออกมาว่าทางอากู๋ได้เจรจาและซื้อหุ้นจากกลุ่ม "จึงรุ่งเรืองกิจ" ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งหมดในบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ทว่าทันทีที่มีข่าวออกมาทางด้านนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงข่าวดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยได้รับการติดต่อจากนายไพบูลย์ หรือใครเลย ที่สำคัญการเข้ามาลงทุนของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจนั้นก็เพื่อการลงทุนระยะยาว ไม่ต้องการขายเพื่อเก็งกำไรแต่อย่างไร

ปฏิบัติการเคลียร์สื่อให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ของอากู๋ยังไม่หมดเท่านี้ เมื่อปรากฏข่าวออกมาว่าทางแกรมมี่ได้สั่งถอดรายการ “สีสันวันหยุด” ทางคลื่น เอฟเอ็ม 94 เมกะเฮิรทซ์ "โอเพ่น เรดิโอ" ซึ่งออกอากาศระหว่างเวลา 08.30-1100 น.ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ดำเนินรายการโดยนางยุวดี ธัญญสิริ และนางอัมพา สันติเมทนีดลออกด้วยเหตุผลเนื้อหารายการเน้นการเมืองมากไป และขัดกับแนวและชื่อรายการ ทั้งที่เหตุผลในความเป็นจริงเป็นที่รับรู้กันว่ามาจากการที่รายการดังกล่าวมักจะนำผู้ที่มีความเห็นตรงข้ามรัฐบาลมาสัมภาษณ์ออกอากาศและพูดถึงการทำงานของรัฐบาลนั่นเอง

ไม่นานหลังจากที่ "สีสันวันหยุด" ถูกปลดไปได้ 2 เดือน ปลายเดือนพฤษภาคม ทางแกรมมี่ฯ ก็ได้ประกาศปิด สำนักข่าวไทยไทมส์นิวส์ โอเพ่นเรดิโอ ลงด้วยเหตุผลของการขาดทุน ท่ามกลางเสียงเล่าลือจากวงในว่าเป็นเพราะการทำรายการที่ไม่สนองนโยบายเชียร์รัฐบาลฝ่ายเดียว แต่เปิดโอกาสให้ฝ่ายต่อต้านเข้ามาพูดผ่านสถานีได้

ขณะที่ก็มีข่าวร่ำลือกันว่าก่อนที่จะมีการประกาศปิดสำนักข่าวไทยไทม์นิสว์ เพียง 1 วัน พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางไปหาอากู๋ถึงตึกแกรมมี่ด้วยตัวเอง!

ภารกิจระดมพล 'ดารา-นักร้อง' เชียร์ทักษิณ

ล่าสุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ของ 'อากู๋' ต่อระบอบทักษิณแบบน่าเกลียดและชวนให้สะอิดสะเอียนมากที่สุดในการทำธุรกิจเพลงของเขาก็คือการขนเอาซูเปอร์สตาร์วัยโรยของค่ายคือ 'เบิร์ด' ธงไชย แมคอินไตย์ ร่วมกับคนอื่นๆ อาทิ ใหม่ เจริญปุระ, นันทิดา, แคทรียา อิงลิช, อรวี สัจจานนท์, ไมค์ ภิรมย์พร ฯ ไปถวายพระพรองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่โรงพยาบาลศิริราชในช่วงปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา พร้อมกันนั้น ดาราทั้งหลายยังกล่าวถึงกรณีการที่ประชาชนได้ออกมาต่อต้านการทำงานของ พ.ต.ท..ทักษิณที่ขาดความชอบธรรมในเรื่องของจริยธรรมความเป็นผู้นำ การบริหารงานที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชัน การพูดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำให้คนไทยแตกแยกว่า

"อยากจะอ้อนวอนให้ทุกคนรักกัน อย่าได้ทะเลาะกัน!"

หลังจากนั้นไม่นานทางแกรมมี่ก็ยิงสปอร์ตโฆษณาเพลง "เถียงกันทำไม" ซึ่งอยู่ในอัลบั้มชุดใหม่ของเขาออกมา โดยก่อนหน้านี้เบิร์ดก็ได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาลให้ร้องเพลง "ซัมไปกันฮาตี" หนึ่งในวิถีการแห่งความฟุ่มเฟือยที่ว่ากันว่าช่วยให้สถานการณ์ความวุ่นวายของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้นมาแล้ว
..........................
ย้อนกลับไปดูประวัติ "กู๋" ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม เป็นลูกพ่อค้าชาวจีนที่มีกิจการร้านขาย "ของชำ" เล็กๆ อยู่ในย่านถนนเยาวราช หลังเรียนจบจากนิเทศฯ จุฬาฯ รุ่นที่ 4 (สมัยนั้นยังใช้ชื่อ แผนกอิสระวิชาการสื่อสารมวลชน) เจ้าตัวได้ไปสมัครงานที่ฟาร์อีสท์ (บริษัทโฆษณาในเครือสหพัฒน์ฯ) มีโอกาสเรียนรู้งานใกล้ชิดกับนายห้าง เทียม โชควัฒนา ทำงานอยู่ 5 ปี (อายุ 23-28 ปี) ก่อนจะออกมาร่วมกันจัดตั้งบริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง (ในเครือโอสถสภา เต๊กเฮงหยู) โดยรับตำแหน่ง "เอ็มดี" (กรรมการผู้จัดการ)

ที่นี่เองเขาได้มีโอกาสทำตลาดน้ำส้มสายชูกลั่น "อสร." และทำตลาดปลาเส้น "ทาโร่" สแน็ค ที่มีส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุด ในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน

อากู๋ทำงานอยู่ที่พรีเมียร์ 7 ปี (ระหว่างนั้นเจ้าตัวก็หางานพิเศษทำตลอดทั้งการไปเรียนทำหนังสือกับ สุจิตต์ วงษ์เทศ ขรรค์ชัย บุนปาน ที่พิฆเนศ บางช่วงเป็น บก.หนังสือให้กับบุรินทร์ วงศ์สงวน ร่วมกับเพื่อนๆ ตั้งบริษัท โฟร์เอจ ทำทางด้านวิจัย ทำด้านโฆษณา และงานสถาปัตย์) จากนั้นไพบูลย์ก็หอบเอาเงินทุน 4-5 แสนบาท ก่อตั้งบริษัทแกรมมี่ 2526 เป็นของตัวเอง เริ่มต้นจากการทำเพลง "มหาดุริยางค์ไทย" ของหลวงประดิษฐ์ไพเราะซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ชิ้นแรกของบริษัท เมื่อเขามีอายุได้ 35 ปี สิ่งที่เจ้าตัวได้เปรียบเถ้าแก่คนอื่นๆ ในธุรกิจเพลงค่ายอื่นๆ ขณะนั้น ก็เพราะการทำค่ายเทปจำเป็นต้องทำสื่อวิทยุเป็น ทำสื่อทีวีเป็น ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาเรียนมาโดยตรง

12 ปีให้หลังแกรมมี่ถูกนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันไพบูลย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดใน บจม.จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ จำนวน 266.09 ล้านหุ้น หรือเท่ากับร้อยละ 53.22 คิดเป็นมูลค่าตามราคาตลาดเกือบ 4,800 ล้านบาท มีศิลปินภายในสังกัดมากที่สุด (ประมาณ 400 กว่าคน)

นอกจากจะทำธุรกิจกับคนอื่น เขายังทำธุรกิจกับตนเองด้วยการซื้ออาคารโรจนะ ทาวเวอร์บนถนนอโศก ราคา 1,100 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทในเครือเช่า โดยใช้เงินกู้จาก ธ.ไทยธนาคาร จำนวน 600 ล้านบาท แต่ใช้หนี้หมดภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี

เฉพาะรายได้ค่าเช่าตึกของบริษัทในเครือแกรมมี่เพียงแห่งเดียว คนคนนี้ก็มีรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 55 ล้านบาท (คิดค่าเช่ากับแกรมมี่ 3 ปีแรกประมาณ 165.6 ล้านบาท หรือเท่ากับ 230 บาท/ตร.ม./เดือน) ไม่รวมกับเงินปันผลที่แกรมมี่จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นปีละ 10 บาท (คิดจากราคาพาร์ 10 บาทที่จ่ายในปี 2542-2545) ไพบูลย์จะมีรายได้ (เงินสด) เพิ่มขึ้นอีกปีละประมาณ 260-270 ล้านบาท (4 ปีจะได้รับเงินปันผลรวมประมาณ 1,040-1,080 ล้านบาท) เป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมเขาจึงสามารถให้คืนหนี้หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว

นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้เข้าซื้อที่ดินมรดกของ "นางสุเพี้ยน เวชชาชีวะ" คุณย่าของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 9 ไร่ มูลค่าสูงถึง 120 ล้านบาท บริเวณ ต.หนองแก อ.ปราณบุรี เพื่อสร้างคฤหาสน์หรูริมทะเลที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อีกนัยหนึ่งก็คือ อาณาจักรที่พักผ่อนส่วนตัวของบรรดา "ศิลปิน" ในสังกัด

กระนั้นทุกอย่างย่อมมีขึ้นลง เมื่อเจ้าตัวได้หันไปจับธุรกิจการทำบะหมี่ "โฟร์มี" ธุรกิจขายตรงเครื่องสำอาง "ยูสตาร์" ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น "โฮยู" ใช้เงินลงทุนประมาณ 300-400 ล้านบาท แต่ทุกอย่างกลับไปได้ไม่ดีนักในขณะที่ตัวของแกรมมี่เองรายได้ก็เริ่มที่จะฝืดในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบของค่ายเพลงที่เยอะเกินไป การปลดพนักงานบางส่วนเพื่อลดต้นทุน การทยอยคืนคลื่นวิทยุที่เช่าอยู่

ทั้งนี้จากการเปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2548 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าแกรมมี่มีกำไรสุทธิเป็นจำนวน 203.51 ล้านบาท ลดลงเป็นจำนวน 496.69 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547 ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 700.20 ล้านบาท หรือลดลงคิดเป็นอัตราร้อยละ 71 โดยมีสาเหตุหลักจากการลดลงของรายได้จากธุรกิจเพลง, ภาพยนตร์, วิทยุการขาดทุนจากการสำรองเผื่อการด้อยค่าในเงินลงทุนในบริษัท ยูไนเต็ด บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) (UBC) (จำนวน 32.2 ล้านบาท อันเนื่องมาจาก UBC ขอเพิกถอนหุ้นสามัญของกิจการออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) การขาดทุนจากเงินลงทุนในต่างประเทศจำนวน 67.8 ล้านบาท อันเนื่องมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

แม้ 2 เพื่อนซี้ 'กู๋-ทักษิณ' จะมีแนวคิดที่แตกต่างกัน เพราะในขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีสอนคนอื่นว่าเรื่องของเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญ การมีหนี้คือการมีเครดิต ทว่าสำหรับตัวของผู้บริหารแกรมมี่ฯ แล้วคำสอนของผู้เป็นพ่อที่บอกว่า ... อย่าเป็นหนี้ เพราะถ้าเป็นหนี้สินใครหัวสมองมันจะคิดอะไรไม่ออก ... ก็ตาม แต่สิ่งที่ทั้งสองคนนี้เหมือนกันก็คือ การจะไม่ลงทุนในธุรกิจอะไรที่เห็นแล้วว่ามีความเสี่ยงและไม่เห็นทางชนะอย่างเด็ดขาด


กำลังโหลดความคิดเห็น