หลังจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอย่างนิ่มนวลในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 และประกาศเรียกอดีตรักษาการรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณให้มารายงานตัวที่กองบัญชาการคปค.เป็นระยะๆ โดยจุดประสงค์ในส่วนหนึ่งก็เพื่อระงับกระแสของ 'การปฏิวัติซ้อน' ที่อาจปะทุขึ้นจากสมุนข้างกายทักษิณที่ยังมีฤทธิ์เดช
...... โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลข้างกายทักษิณ ผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวลือว่าซุ่มสะสมกองกำลังป่าไม้ของตนเองอย่างแข็งขันพร้อมเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายได้ทุกเมื่อ นาม ยงยุทธ ติยะไพรัช

ร่วมกันกับ 'ยี้ห้อย' เนวิน ชิดชอบ ยงยุทธ ติยะไพรัช ถือเป็นสองนักการเมืองผู้ใกล้ชิดและรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างสุดจิตสุดใจและได้รับความไว้วางใจจากทั้งนายใหญ่และนายหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ พ.ต.ท.ทักษิณประสบกับมรสุมทางการเมืองและสมาชิกพรรคไทยรักไทยหลายคนเริ่มตีตัวออกห่าง
ยงยุทธ หรือ 'ยุทธ ตู้เย็น' พื้นเพเป็นคนจังหวัดเชียงราย เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2504 เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร) จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์ (การเมืองการปกครอง) ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะที่ในปัจจุบันนั้นได้เขารับทุนศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที)
ทั้งนี้เป็นที่ร่ำลือกันว่า ทุนเรียนปริญญาเอกจำนวน 733,000 บาทที่นายยงยุทธได้รับจากเอไอทีนี้ ปกติแล้วเป็นทุนการศึกษาที่รัฐบาลนำภาษีอากรมาสนับสนุนให้กับนักศึกษาที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีนักแต่มีผลการเรียนดีเท่านั้น!
ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน นายยงยุทธในวัย 34 ปี ถือเป็นนักการเมืองหนุ่มดาวรุ่ง โดยเขาสังกัดพรรคเอกภาพและได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.เชียงราย ครั้งแรกในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2538 ภายใต้การช่วยเหลือของ ดร.ฉัฐวัสส์ มุตตามระ อดีตส.ส.เชียงราย สุรสิทธิ์ เจียมวิจักษ์ และบัวสอน ประชามอญ (ปัจจุบันมาอยู่พรรคไทยรักไทยด้วยกัน) ในสมัยนั้น นายยงยุทธถือว่าเป็นนักการเมืองที่มีอนาคตยาวไกล อันเนื่องมาจากเป็นคนปากหวาน พูดจาสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งยังมีกิจการรับซื้อ/แปรรูปพืชผลทางการเกษตรอยู่ที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย
กระทั่งการเลือกตั้งในปี 2539 นายยงยุทธได้ย้ายมาสังกัดกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้แรงหนุนจากกระแสพรรคเทพ-พรรคมารในเวลานั้น จนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และได้รางวัลเป็นเลขานุการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ในการเลือกตั้ง 6 ม.ค. 2544 นายยงยุทธย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์มาสังกัดกับพรรคไทยรักไทย โดยทำหน้าที่เป็นแม่ทัพพา ผู้สมัคร ส.ส.ไทยรักไทย จังหวัดเชียงรายพาเหรดเข้าสภาได้ทั้ง 8 เขต ซึ่งเขาก็ได้รับบำเหน็จโดยถูกเลื่อนขั้นให้เป็น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ระหว่างปี 2545-2547 ที่นายยงยุทธ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนี่เองที่ทำให้เขาได้รับสมญานาม 'ยุทธ ตู้เย็น' ติดตัวมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ......
เหตุเกิดเมื่อเช้ามืดของวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ณ ต.เชียงรากน้อย อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ในช่วงที่รัฐบาลทักษิณ 1 กำลังดำเนินยุทธการฆ่าตัดตอน-ปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดอย่างเข้มข้น นายยงยุทธในฐานะเลขาฯ นายกฯ ได้สั่งการให้พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผู้การกองปราบฯ ในสมัยนั้น นำกำลังตำรวจกองปราบปรามเข้าปิดล้อม บุกค้นและจู่โจมบ้านของนายนิสสัยและนางอุดม ศตะกูรมะ 2 ตายายซึ่งต้องสงสัยว่าค้ายาเสพติด แต่ผลปรากฎว่าเมื่อเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปแล้วกลับไม่พบสิ่งกฎหมายใดๆ แต่สภาพบ้านถูกกระสุนปืนยิงเป็นรูหลายแห่งและที่ยับเยินที่สุดก็คือ 'ตู้เย็น' ภายในบ้านถูกยิงเป็นรูพรุน
นั่นเป็นที่มาของฉายา 'ยุทธ ตู้เย็น' ที่เจ้าตัวระบุว่าไม่ชอบและไม่ต้องการให้ใครมาเรียกขาน แต่ในช่วงที่ผ่านมา ส.ส.ในเครือของนายยงยุทธ กลับมีการตั้ง 'วังตู้เย็น' ขึ้นมาสร้างอำนาจต่อรองในพรรค!
หลังการเลือกตั้งทั่วไป 6 ก.พ. 2548 ซึ่งพรรคไทยรักไทยสามารถคว้าเก้าอี้ ส.ส.มาได้อย่างถล่มทลาย นายยงยุทธก็ได้รับตำแหน่งใหญ่เป็นถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวโค่นล้ม "ระบอบทักษิณ" โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คนรอบกายของยงยุทธนับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการเคลื่อนไหวต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว-ระดมลูกจ้างในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ของกระทรวงทรัพยากรฯ ซึ่งมีอธิบดีคือ นายดำรงค์ พิเดช ให้เข้าก่อกวนและปาระเบิดเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 13, 14 และ 15 (ระหว่างวันที่ 23 ธ.ค. 2548-15 ม.ค.2549) โดยเป็นการสั่งการผ่าน นายอัครเดช สุขลักษณ์ ที่ปรึกษาด้านมวลชน 5 จังหวัดภาคเหนือ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน นักการเมืองในกลุ่ม
นอกจากการเคลื่อนไหวก่อกวนโดยมีประเด็นมุ่งหวังเพื่อจะให้เกิดความรุนแรงในการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณแล้ว ภายหลังจากที่ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ออกมาต่อสู้กับระบอบทักษิณอย่างเปิดเผย นายยงยุทธได้มีคำสั่งลับไปยังบริเวารเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ให้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของทหารอย่างใกล้ชิด จนทำให้ทหารและเจ้าหน้าที่ป่าไม้จ้องตากันมาตลอด
จนในที่สุดทางฝ่ายทหารต้องหาทางออกมาตัดไฟแต่ต้นลม โดยในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กองทัพบกได้ทำหนังสือขอเรียกเก็บปืนเอชเค 33 ซึ่ง กระทรวงทรัพยากรฯ เคยทำเรื่องยืมมาให้เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั่วประเทศ 143 แห่ง ใช้ป้องกันตัวขณะออกลาดตระเวนจำนวน 1,000 กระบอก ภายในวันที่ 1 ต.ค. โดยให้เหตุผลว่าจะนำปืนดังกล่าวไปให้ทหารพรานที่กำลังตั้งขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปฏิบัติหน้าที่
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ถูกเรียกปืนคืน ป่าไม้ฯ ในความดูแลของยงยุทธก็ไม่สิ้นฤทธิ์ โดยในช่วงก่อนการชุมนุมใหญ่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ในตอนแรกถูกกำหนดไว้ในวันที่ 22 ก.ย. (ก่อนเปลี่ยนเป็น 20 ก.ย.) มีรายงานข่าวจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ซึ่งมีนายดำรงค์ พิเดช เป็นอธิบดีฯ และมีนายยงยุทธ เป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ แจ้งว่าในวันศุกร์ที่ 15 ก.ย. กรมอุทยานฯได้มีหนังสือเวียนไปยังสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เรียกประชุมหัวหน้าหน่วยงานภาคสนามทุกหน่วย เดินทางไปประชุมรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 23-24 ก.ย.49 โดยให้รายงานตัวตั้งแต่บ่ายของวันที่ 22 ก.ย.49 เป็นต้นไป ทั้งนี้รวมตัวเลขของผู้ที่จะเข้าร่วมประชุมกว่า 2,000 คน
หลัง คปค.ทำการยึดอำนาจสำเร็จในคืนวันที่ 19 ก.ย. 2549 วันถัดมา ก็มีประกาศเรียกนายยงยุทธ เข้ารายการตัวที่กองบัญชาการกองทัพบกก่อนเที่ยงวันที่ 21 ก.ย. 2549 ซึ่งนายยงยุทธก็เข้ารายงานตัว และถูกควบคุมตัวไว้พร้อมๆ กับนายเนวิน
...... โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลข้างกายทักษิณ ผู้ดำรงตำแหน่งรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมามีข่าวลือว่าซุ่มสะสมกองกำลังป่าไม้ของตนเองอย่างแข็งขันพร้อมเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายได้ทุกเมื่อ นาม ยงยุทธ ติยะไพรัช
ร่วมกันกับ 'ยี้ห้อย' เนวิน ชิดชอบ ยงยุทธ ติยะไพรัช ถือเป็นสองนักการเมืองผู้ใกล้ชิดและรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างสุดจิตสุดใจและได้รับความไว้วางใจจากทั้งนายใหญ่และนายหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ พ.ต.ท.ทักษิณประสบกับมรสุมทางการเมืองและสมาชิกพรรคไทยรักไทยหลายคนเริ่มตีตัวออกห่าง
ยงยุทธ หรือ 'ยุทธ ตู้เย็น' พื้นเพเป็นคนจังหวัดเชียงราย เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2504 เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร) จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อนที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์ (การเมืองการปกครอง) ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะที่ในปัจจุบันนั้นได้เขารับทุนศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที)
ทั้งนี้เป็นที่ร่ำลือกันว่า ทุนเรียนปริญญาเอกจำนวน 733,000 บาทที่นายยงยุทธได้รับจากเอไอทีนี้ ปกติแล้วเป็นทุนการศึกษาที่รัฐบาลนำภาษีอากรมาสนับสนุนให้กับนักศึกษาที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีนักแต่มีผลการเรียนดีเท่านั้น!
ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน นายยงยุทธในวัย 34 ปี ถือเป็นนักการเมืองหนุ่มดาวรุ่ง โดยเขาสังกัดพรรคเอกภาพและได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.เชียงราย ครั้งแรกในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2538 ภายใต้การช่วยเหลือของ ดร.ฉัฐวัสส์ มุตตามระ อดีตส.ส.เชียงราย สุรสิทธิ์ เจียมวิจักษ์ และบัวสอน ประชามอญ (ปัจจุบันมาอยู่พรรคไทยรักไทยด้วยกัน) ในสมัยนั้น นายยงยุทธถือว่าเป็นนักการเมืองที่มีอนาคตยาวไกล อันเนื่องมาจากเป็นคนปากหวาน พูดจาสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ทั้งยังมีกิจการรับซื้อ/แปรรูปพืชผลทางการเกษตรอยู่ที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย
กระทั่งการเลือกตั้งในปี 2539 นายยงยุทธได้ย้ายมาสังกัดกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้แรงหนุนจากกระแสพรรคเทพ-พรรคมารในเวลานั้น จนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และได้รางวัลเป็นเลขานุการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ในการเลือกตั้ง 6 ม.ค. 2544 นายยงยุทธย้ายจากพรรคประชาธิปัตย์มาสังกัดกับพรรคไทยรักไทย โดยทำหน้าที่เป็นแม่ทัพพา ผู้สมัคร ส.ส.ไทยรักไทย จังหวัดเชียงรายพาเหรดเข้าสภาได้ทั้ง 8 เขต ซึ่งเขาก็ได้รับบำเหน็จโดยถูกเลื่อนขั้นให้เป็น โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ระหว่างปี 2545-2547 ที่นายยงยุทธ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนี่เองที่ทำให้เขาได้รับสมญานาม 'ยุทธ ตู้เย็น' ติดตัวมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ......
เหตุเกิดเมื่อเช้ามืดของวันที่ 7 กรกฎาคม 2547 ณ ต.เชียงรากน้อย อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ในช่วงที่รัฐบาลทักษิณ 1 กำลังดำเนินยุทธการฆ่าตัดตอน-ปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดอย่างเข้มข้น นายยงยุทธในฐานะเลขาฯ นายกฯ ได้สั่งการให้พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ ผู้การกองปราบฯ ในสมัยนั้น นำกำลังตำรวจกองปราบปรามเข้าปิดล้อม บุกค้นและจู่โจมบ้านของนายนิสสัยและนางอุดม ศตะกูรมะ 2 ตายายซึ่งต้องสงสัยว่าค้ายาเสพติด แต่ผลปรากฎว่าเมื่อเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปแล้วกลับไม่พบสิ่งกฎหมายใดๆ แต่สภาพบ้านถูกกระสุนปืนยิงเป็นรูหลายแห่งและที่ยับเยินที่สุดก็คือ 'ตู้เย็น' ภายในบ้านถูกยิงเป็นรูพรุน
นั่นเป็นที่มาของฉายา 'ยุทธ ตู้เย็น' ที่เจ้าตัวระบุว่าไม่ชอบและไม่ต้องการให้ใครมาเรียกขาน แต่ในช่วงที่ผ่านมา ส.ส.ในเครือของนายยงยุทธ กลับมีการตั้ง 'วังตู้เย็น' ขึ้นมาสร้างอำนาจต่อรองในพรรค!
หลังการเลือกตั้งทั่วไป 6 ก.พ. 2548 ซึ่งพรรคไทยรักไทยสามารถคว้าเก้าอี้ ส.ส.มาได้อย่างถล่มทลาย นายยงยุทธก็ได้รับตำแหน่งใหญ่เป็นถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวโค่นล้ม "ระบอบทักษิณ" โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คนรอบกายของยงยุทธนับว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการเคลื่อนไหวต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว-ระดมลูกจ้างในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ของกระทรวงทรัพยากรฯ ซึ่งมีอธิบดีคือ นายดำรงค์ พิเดช ให้เข้าก่อกวนและปาระเบิดเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 13, 14 และ 15 (ระหว่างวันที่ 23 ธ.ค. 2548-15 ม.ค.2549) โดยเป็นการสั่งการผ่าน นายอัครเดช สุขลักษณ์ ที่ปรึกษาด้านมวลชน 5 จังหวัดภาคเหนือ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน นักการเมืองในกลุ่ม
นอกจากการเคลื่อนไหวก่อกวนโดยมีประเด็นมุ่งหวังเพื่อจะให้เกิดความรุนแรงในการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณแล้ว ภายหลังจากที่ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ได้ออกมาต่อสู้กับระบอบทักษิณอย่างเปิดเผย นายยงยุทธได้มีคำสั่งลับไปยังบริเวารเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ให้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของทหารอย่างใกล้ชิด จนทำให้ทหารและเจ้าหน้าที่ป่าไม้จ้องตากันมาตลอด
จนในที่สุดทางฝ่ายทหารต้องหาทางออกมาตัดไฟแต่ต้นลม โดยในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กองทัพบกได้ทำหนังสือขอเรียกเก็บปืนเอชเค 33 ซึ่ง กระทรวงทรัพยากรฯ เคยทำเรื่องยืมมาให้เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทั่วประเทศ 143 แห่ง ใช้ป้องกันตัวขณะออกลาดตระเวนจำนวน 1,000 กระบอก ภายในวันที่ 1 ต.ค. โดยให้เหตุผลว่าจะนำปืนดังกล่าวไปให้ทหารพรานที่กำลังตั้งขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ปฏิบัติหน้าที่
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ถูกเรียกปืนคืน ป่าไม้ฯ ในความดูแลของยงยุทธก็ไม่สิ้นฤทธิ์ โดยในช่วงก่อนการชุมนุมใหญ่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ในตอนแรกถูกกำหนดไว้ในวันที่ 22 ก.ย. (ก่อนเปลี่ยนเป็น 20 ก.ย.) มีรายงานข่าวจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ซึ่งมีนายดำรงค์ พิเดช เป็นอธิบดีฯ และมีนายยงยุทธ เป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ แจ้งว่าในวันศุกร์ที่ 15 ก.ย. กรมอุทยานฯได้มีหนังสือเวียนไปยังสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เรียกประชุมหัวหน้าหน่วยงานภาคสนามทุกหน่วย เดินทางไปประชุมรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 23-24 ก.ย.49 โดยให้รายงานตัวตั้งแต่บ่ายของวันที่ 22 ก.ย.49 เป็นต้นไป ทั้งนี้รวมตัวเลขของผู้ที่จะเข้าร่วมประชุมกว่า 2,000 คน
หลัง คปค.ทำการยึดอำนาจสำเร็จในคืนวันที่ 19 ก.ย. 2549 วันถัดมา ก็มีประกาศเรียกนายยงยุทธ เข้ารายการตัวที่กองบัญชาการกองทัพบกก่อนเที่ยงวันที่ 21 ก.ย. 2549 ซึ่งนายยงยุทธก็เข้ารายงานตัว และถูกควบคุมตัวไว้พร้อมๆ กับนายเนวิน