xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : จุดจบ “ทักษิณ”...อย่าโทษใคร ต้องโทษตัวเอง!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน


หลายคนอาจนึกไม่ถึงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะหมดอำนาจด้วยการถูกปฏิวัติยึดอำนาจ ขณะที่หลายคนรู้สึกว่า ใช้วิธีปฏิวัติ...รุนแรงเกินไปหรือเปล่า แต่อีกหลายคนกลับรู้สึกว่า ไม่มีวิธีอื่นแล้วที่จะทำให้ทักษิณยอมลงจากอำนาจ เพราะอย่าว่าแต่ลาออกเลย แม้แต่จะเว้นวรรคหรือไม่เว้นวรรค ทักษิณยังไม่ยอมให้คำตอบ ...รายงานต่อไปนี้ ไม่ขอวิพากษ์ว่า การปฏิวัติทักษิณเหมาะสมแล้วหรือไม่ เพียงอยาก ”ย้อนรอย” และ “รำลึก”เ หตุการณ์ที่ผ่านมาด้วยกันว่า กระบวนการตรวจสอบ พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาล ที่จุดประกายโดยรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” กระทั่งพัฒนาสู่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ดำเนินมาอย่างไร มิได้หมายความว่า จุดจบทักษิณ เป็นเพราะ “พันธมิตรฯ หรือ สนธิ” แต่น่าจะพูดได้ว่า วันนี้ของทักษิณ เกิดจากตัวเองทำตัวเองนั่นเอง

 คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ


คงต้องย้อนกันตั้งแต่รายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์” ที่ดำเนินรายการโดย สนธิ ลิ้มทองกุล และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ถูกปลดออกจากผังรายการของโมเดิร์นไนน์ ทีวี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 ก.ย. 2548 ซึ่งไม่เพียงเป็นการปลดฟ้าผ่าก่อนหน้าที่รายการดังกล่าวจะถึงกำหนดออกอากาศครั้งต่อไปในวันศุกร์ที่ 16 ก.ย.แค่ 1 วัน แต่ยังเป็นการปลดรายการที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่น่าจะมีอยู่เพียงรายการเดียวทางฟรีทีวี 3-5-7-9-11 ท่ามกลางสถานการณ์ขณะนั้น ที่การเมืองพยายามรุกคืบเพื่อครอบงำสื่อจากกรณีอากู๋(ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม)แห่งแกรมมี่ที่พยายามเข้าเทคโอเวอร์หนังสือพิมพ์มติชนและบางกอกโพสต์ กระทั่งเกิดกระแสต่อต้านบานปลาย จนท้ายที่สุด การเทคโอเวอร์ทำไม่สำเร็จ!

สาเหตุแห่งการปลดรายการเมืองไทยฯ บอร์ด อสมท.(เรวัติ ฉ่ำเฉลิม-มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ-ธงทอง จันทรางศุ) เปิดแถลงข่าวในวันที่สั่งปลดว่า เป็นเพราะผู้ดำเนินรายการพูดพาดพิงถึงบุคคลอื่น โดยบุคคลนั้นไม่มีโอกาสชี้แจง ทำให้เกิดข้อพิพาทเป็นคดีความในชั้นศาลหลายคดี แต่นายสนธิยืนยันว่า ไม่ได้มีคดีความที่ฟ้องตนอยู่ในศาลแต่อย่างใด มีเพียงคดีที่ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ฟ้องว่าตนหมิ่นประมาทเท่านั้น ซึ่งศาลได้ยกฟ้องแล้ว ด้านบอร์ด อสมท.คงกลัวว่า สาเหตุที่ต้องปลดรายการนี้จะไม่หนักแน่นพอ จึงงัดเรื่องพระราชอำนาจเรื่องของสถาบันมายัดเยียดให้นายสนธิด้วย โดยอ้างว่า ผู้ดำเนินรายการฯ กล่าวพาดพิงการแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราชฯ ถือว่าเป็นการละเมิดพระราชอำนาจ และยังอ่านบทความที่พาดพิงถึงสถาบัน อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนได้ อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายในสังคมที่ได้ติดตามรายการเมืองไทยฯ นัดสุดท้าย(9 ก.ย.)ก่อนถูกปลด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นายสนธิไม่ได้พูดละเมิดพระราชอำนาจ ไม่ได้หมิ่นสถาบัน แต่เป็นการพิทักษ์รักษาพระราชอำนาจของในหลวงไว้ ไม่ว่าจะในส่วนที่รัฐบาลไม่ยกเลิกการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชฯ เสียที ทั้งที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดังเดิมแล้ว นายสนธิจึงตั้งคำถามว่า รัฐบาลกำลังละเมิดพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นผู้แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชฯ หรือไม่? เพราะรัฐบาลกำลังทำให้บ้านเมืองเหมือนอยู่ในภาวะมีพระสังฆราช 2 องค์ในเวลาเดียวกัน หรือแม้แต่บทความเรื่อง “พ่อของแผ่นดิน-ลูกแกะหลงทาง” ที่แฟนเว็บผู้จัดการเขียนเข้ามา แล้วนายสนธินำไปอ่านในรายการฯ นอกจากจะมีเนื้อหากินใจ หลายคนที่ได้ฟังอดน้ำตาไหลไม่ได้(สโรชา ยังถึงกับหลั่งน้ำตาในรายการฯ เมื่อได้ฟังสนธิอ่านบทความนี้) แต่บทความที่มีความหมายและถ่ายทอดคำสอนของพ่อที่มีต่อลูกๆ ทุกคน แต่มีลูกคนหนึ่ง นอกจากไม่สนใจในคำสอน ยังคิดวัดรอยเท้าพ่อ ลูกคนนั้นจึงเปรียบเหมือนกับ “ลูกแกะที่ยังหลงทาง ต่อไป และต่อไป...”

น.พ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย ได้เคยพูดถึงกรณีที่บอร์ด อสมท.ปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ในครั้งนั้นว่า เป็นการใช้อำนาจเถื่อน ที่ส่งผลสะเทือนถึงประชาชนด้วย ซึ่งหากรัฐบาลไม่เข้ามาตรวจสอบการใช้อำนาจของ อสมท.ว่าเกินขอบเขตหรือไม่ แสดงว่ารัฐบาลให้ท้าย อสมท.อยู่

“รัฐบาลน่าจะเข้ามาตรวจสอบตรงนี้ว่า คุณมิ่งขวัญ (แสงสุวรรณ) หรือ อสมท.ใช้อำนาจเกินขอบเขตเปล่า? ไม่เช่นนั้นรัฐบาลคงจะให้ท้ายคุณมิ่งขวัญในการที่จะปลดผังอันนี้ออกไป ผมเห็นว่ารายการนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่านะ มากกว่ารายการอื่นอีกเยอะเลย ไม่เข้าใจว่า รายการที่เป็นประโยชน์กับประชาชนขนาดนี้ ทำไมถึงไปปิดเขา นี่ใช้อำนาจรังแกกันแบบไม่เป็นธรรม”

นอกจากรัฐบาลทักษิณจะไม่มีการตรวจสอบเรื่องนี้ตามที่หลายฝ่ายอยากเห็นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังลุกขึ้นมาฟ้องสนธิ-สโรชา และบริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม ผู้ผลิตรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ว่า พูดหมิ่นประมาทตน พร้อมเรียกค่าเสียหาย 500 ล้าน!

การลุกขึ้นมาฟ้องสนธิของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เพียงทำให้สังคมได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าน่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปลดรายการเมืองไทยฯ แต่ยังช่วยฉีกหน้ากากบอร์ด อสมท.ที่ป้ายสีนายสนธิต่อสาธารณะว่าพูดละเมิดพระราชอำนาจ-หมิ่นสถาบันด้วยว่า บอร์ด อสมท.โป้ปดมดเท็จอย่างสิ้นเชิง เพราะหากนายสนธิพูดหมิ่นสถาบันจริงๆ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ลุกขึ้นมาฟ้องว่า นายสนธิหมิ่นประมาทตนแน่ และคงเป็นไปไม่ได้ ที่นายสนธิจะพูดหมิ่นทั้งสถาบันและหมิ่น พ.ต.ท.ทักษิณในเวลาเดียวกัน นั่นแสดงว่า บอร์ด อสมท.ไม่เพียงบิดเบือนเหตุผลของการปลดรายการเมืองไทยฯ แต่ยังเป็นการใส่ร้ายที่เคลือบแฝงด้วยการปกป้องรัฐบาล ปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งการให้บอร์ด อสมท.ปลดรายการเมืองไทยฯ ด้วย

แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะลุกขึ้นมาฟ้องสนธิว่าพูดหมิ่นตน แต่ผลจากการที่บอร์ด อสมท.ได้แถลงต่อสาธารณะว่า สนธิละเมิดพระราชอำนาจพาดพิงสถาบัน บวกการสร้างกระแสของกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ทำให้เกิดการฟ้องดำเนินคดีสนธิฐานหมิ่นสถาบันจำนวนมาก ขนาดตำรวจยุคทักษิณยังลุกขึ้นมาเอาใจนายจนเกินงาม เช่น กรณี พล.ต.ท.สถาพร ดวงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 เพื่อนร่วมรุ่น พ.ต.ท.ทักษิณ นรต.26 ถึงกับสั่งให้ตำรวจในสังกัด 11 จังหวัดภาคอีสานตอนบนจำนวน 234 โรงพัก แจ้งความดำเนินคดี “สนธิ-สโรชา” ฐานจัดรายการหมิ่นสถาบัน ส่วนที่ จ.ยโสธร พ.ต.ท.สำเนียง ลือเจียงคำ รอง ผกก.สส.สภ.อ.เมือง จ.ยโสธร ลงทุนเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีสนธิ-สโรชาด้วยตนเอง ซึ่งทางโรงพักดังกล่าวก็รีบเร่งรับลูก ถึงกับมีการขอศาล จ.ยโสธร เพื่อออกหมายจับสนธิ-สโรชา แต่สุดท้ายหน้าแตก! เพราะศาลฯ ไม่อนุมัติ โดยให้เหตุผลว่า ถ้อยคำที่นายสนธิและ น.ส.สโรชา พูดในรายการฯ มุ่งวิจารณ์นายกฯ แม้บางคำจะเปรียบเทียบพระมหากษัตริย์ แต่ไม่เข้าข่ายดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 แต่อย่างใด

ปรากฏการณ์สนธิพูดพาดพิงสถาบัน ไม่เพียงบอร์ด อสมท.จะอ้างว่า เป็นการละเมิดพระราชอำนาจหรือหมิ่นสถาบันเท่านั้น แต่รัฐมนตรีและมือกฎหมายรอบกาย พ.ต.ท.ทักษิณยังพยายามปลุกกระแสว่า ประชาชนไม่มีสิทธิพูดถึงสถาบัน เพราะจะเป็นการ”ดึงฟ้าต่ำ” กระทั่งนักวิชาการและนักกฎหมายหลายคนได้ออกมายืนยันว่า ประชาชนพูดถึงสถาบันได้ โดยเฉพาะการพูดเพื่อปกป้องสถาบัน และที่สำคัญพระมหากษัตริย์คือที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ซึ่งในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แก่สังคมในเวลาต่อมาว่า การพูดถึงสถาบันเป็นสิ่งที่ทำได้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสชัดเจนเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2548 ว่า ทรงให้ประชาชนพูดถึงพระองค์ได้ วิจารณ์พระองค์ได้

“เขาก็บอกในหนังสือพิมพ์ ในวิทยุในโทรทัศน์ บอกว่า ที่ เดอะคิงทำอะไร ก็ไม่วิจารณ์ แล้วก็บอกอย่าวิจารณ์ ที่จริงอยาก อยากให้วิจารณ์ เพราะว่าเราทำอะไร ก็ต้องรู้ว่าเขาเห็นดีหรือไม่ดี ถ้าไม่พูด ก็หาว่าทำดีแล้ว แต่แท้จริงที่พูดที่ออกข่าว ให้สัมภาษณ์ บอกว่าอย่าไปวิจารณ์เดอะคิง ตอนนี้ต้องบอกว่าอย่าไปวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าไม่ควร ในรัฐธรรมนูญก็มีอยู่ว่า ละเมิดมิได้ นักกฎหมายก็พยักหน้าอีกแล้ว ว่า ถูกต้อง ว่า ไม่ควรจะวิจารณ์ วิจารณ์ไม่ได้ ละเมิดไม่ได้ แต่ว่าถ้าพูดว่าพระเจ้าอยู่หัวทำถูก พูดถูก ไม่ใช่ละเมิด เป็นการ ถ้าพูดภาษาอังกฤษก็ว่า approve พระเจ้าอยู่หัว เห็นชอบด้วย แต่ไม่เคยมีใครมาบอก เห็นชอบว่า พระเจ้าอยู่หัวพูดดี พูดถูก แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัว ไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์ เราก็กลัวเหมือนกัน ถ้าบอกไม่วิจารณ์แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ดี”

ในที่สุด พระราชดำรัสดังกล่าว ก็ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนกับสำนึกได้ว่า แม้แต่พระมหากษัตริย์ยังทรงอนุญาตให้วิจารณ์พระองค์ได้ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง จะมาปิดกั้นประชาชนไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ตนเองได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมต้องได้รับการตรวจสอบจากประชาชน คิดได้ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงถอนฟ้องสนธิ-สโรชา และเครือผู้จัดการ ที่ได้เคยเรียกค่าเสียไปทั้งหมดรวม 2 พันล้าน โดยอ้างเหตุผลในถอนฟ้องว่า เพื่อความปรองดอง
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อดทนอยู่ได้ไม่นาน เพราะเมื่อถูกสนธิวิพากษ์วิจารณ์และตั้งคำถามสารพัดคำถามที่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบไม่ได้และไม่อยากตอบในรายการ”เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร”ทั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสวนลุมพินี ก็ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณลุกขึ้นมาฟ้องอีก!

สิ่งที่สนธิเคยตั้งข้อสังเกตและตั้งคำถามถึงพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาล ซึ่งจุดประกายให้สังคมได้ช่วยกันติดตามตรวจสอบ ได้แก่ ปัญหาเรื่องผู้ว่าฯ สตง.ที่เข้าข่ายละเมิดพระราชอำนาจ-พระบรมราชโองการ เพราะมีความพยายามตั้งคนใหม่แทนคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ มา ,กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธานทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว(10 เม.ย.48)เป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่? ซึ่งรัฐบาลพยายามอ้างและแถลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ได้ทำเรื่องขอพระบรมราชานุญาตแล้ว แต่สนธิได้เอกสารยืนยันว่า พิธีทำบุญดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่จะทรงมีพระบรมราชานุญาต 1 วัน และในหนังสือขออนุญาตก็ไม่ได้ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเป็นประธานในพิธี นอกจากนี้คณะกรรมการเตรียมการจัดงานดังกล่าว ยังเคยเสนอให้รัฐบาลกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์ประธานในพิธี แต่รัฐบาลกลับไม่ดำเนินการแต่อย่างใด ,กรณีรัฐบาลซื้อเครื่องบิน”ไทยคู่ฟ้า” เพื่อเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งนายกฯ และ ครม. แทนที่จะซื้อเครื่องบินพระราชพาหนะถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ก่อน เพราะพระราชพาหนะที่ใช้อยู่เก่ามากแล้ว ,กรณีน้องสาวนายกฯ ใช้เครื่องบิน ซี-130 ของราชการขนคนไปร่วมงานวันเกิดและขึ้นบ้านใหม่ ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งรัฐบาลอ้างว่า เครื่องบินซี-130 ใครๆ ก็ขอโดยสารไปด้วยได้ เนื่องจากมีเที่ยวบินที่บินไปเชียงใหม่อยู่แล้ว แต่นายสนธิ ได้นำเอกสารมาแฉว่า ในวันดังกล่าวไม่มีเที่ยวบินบินไปเชียงใหม่แต่อย่างใด การนำเครื่องบินไปใช้ดังกล่าวจึงน่าจะเข้าข่ายใช้เพื่อการส่วนตัว ,กรณีความไม่ชอบมาพากลในการจัดซื้อเครื่องบินรบของกองทัพอากาศ สมัย พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา เป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ มีปัญหาทั้งเรื่องความเหมาะสม แทนที่จะซื้อของสวีเดนหรือสหรัฐฯ กลับจะซื้อจากรัสเซีย แถมมีความพยายามเปลี่ยนเอเย่นต์ให้พรรคพวกที่ใกล้ชิดมาทำ เพื่อกินค่าคอมมิสชั่นหลายพันล้าน ซึ่ง พล.อ.อ.คงศักดิ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ไม่จริง ยังไม่เคยมีการตกลงซื้อเครื่องบินดังกล่าวจากรัสเซียแต่อย่างใด แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ เมื่อหนังสือพิมพ์มอสโกไทม์ ของรัสเซีย รายงานว่า ทางการรัสเซียและไทยได้ลงนามความตกลงเบื้องต้นในการขายเครื่องบินรบ SU-30 จำนวน 12 ลำ มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาทแล้วระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศมาเลเซีย ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม ผลจากการตั้งคำถามและตรวจสอบรัฐบาลทักษิณ ทำให้สนธิและเครือผู้จัดการถูกอำนาจรัฐและอำนาจมืดในยุคทักษิณข่มขู่คุกคามเพื่อปิดปาก เช่น ระเบิดที่สวนหย่อมสำนักงานผู้จัดการ ,ระเบิดที่ศูนย์ข่าว นสพ.ผู้จัดการที่เชียงใหม่ หรือแม้แต่ความพยายามป่วนสำนักงานผู้จัดการโดยกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ในคราบมอเตอร์ไซค์รับจ้างหลายร้อยคัน หรือการเกณฑ์เจ้าหน้าที่ป่าไม้มาป่วนรายการเมืองไทยฯ ที่สวนลุมพินี มีการวางประทัดยักษ์ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเหตุระเบิดกี่ครั้งๆ ที่เกิดกับผู้จัดการ หรือแม้แต่ระเบิดที่สันติอศก ,ที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือที่บ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ตำรวจยุคทักษิณก็ไม่เคยจับมือใครดมได้ ขนาดมือป่วนจุดประทัดยักษ์ที่สวนลุมฯ ตำรวจจับได้ ยังปรับแค่ 100 บาทแล้วปล่อยตัวไป ทั้งที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำดังกล่าว

ท่ามกลางความพยายามจุดประกายให้สังคมช่วยกันตรวจสอบรัฐบาลทักษิณ ปรากฏว่า หลายเรื่องที่สังคมได้ประจักษ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลสมควรถูกติติงจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องการใช้เงินมือเติบ ซึ่งส่วนใหญ่หมดไปกับการหว่านโปรยนโยบายประชานิยม จนมีข่าวว่ารัฐบาลประสบภาวะถังแตก ,การผุดโครงการเมกะโปรเจกต์หลายแสนล้าน โดยจะดึงต่างชาติมาทำโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเรื่องน้ำที่ไทยน่าจะมีความเชี่ยวชาญมากกว่า หรือเรื่องการป้องกันประเทศซึ่งเกี่ยวพันกับความมั่นคง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างเหตุที่ต้องเดินหน้าเมกะโปรเจกต์ว่า “เมืองไทยต้องเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ยังขาดองค์ความรู้ จึงต้องให้ต่างชาติมาช่วยพัฒนา” ขณะที่สังคมมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังทำในสิ่งที่สวนทางกับพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ,กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปพูดที่ จ.นครสวรรค์ว่า “จังหวัดไหนเลือก ส.ส.พรรคไทยรักไทย ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จังหวัดที่ไว้วางใจน้อยต้องเอาไว้ทีหลัง” ซึ่งนอกจากสะท้อนถึงการเลือกปฏิบัติแล้ว ยังเป็นการ”แบ่งแยกแล้วปกครอง” รวมทั้งเข้าข่ายข่มขู่แกมบังคับว่า ถ้าไม่เลือกพรรคไทยรักไทยแล้ว อย่าหวังว่าจะได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล ,กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และ ครม.เลือกที่จะไปประชุม ครม.สัญจรที่ จ.สุโขทัย แทนการตรวจเยี่ยมภาวะน้ำท่วมหนักที่ภาคใต้ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ภาคใต้ต้องไว้ทีหลังเพราะไม่เลือกพรรคไทยรักไทย ส่วนสุโขทัยต้องได้รับการดูแลก่อน เพราะเลือกพรรคไทยรักไทยทั้งจังหวัด ,รัฐบาลพยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ได้กำไร เพื่อให้เอกชนไม่กี่ตระกูลเข้ามาแบ่งปันผลกำไร เช่น ปตท. ส่วน กฟผ. รัฐบาลก็ออก พ.ร.ฎ.มาแปรรูปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย สุดท้ายถูกศาลปกครองสูงสุดสั่งให้โมฆะ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่รับผิดชอบ ทั้งที่ตนเองเป็นผู้ทูลเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น และเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เมื่อนายสนธิออกมาเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รับผิดชอบด้วยการลาออก ผลกลับกลายเป็นว่า นายสนธิถูกลิ่วล้อรัฐบาลทั่วประเทศฟ้องว่า นายสนธิพูดหมิ่นสถาบัน ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณก็ลอยตัวไป(ล่าสุด การแปรรูป ปตท.อยู่ระหว่างศาลปกครองสูงสุดจะวินิจฉัยว่า ต้องโมฆะซ้ำรอย กฟผ.หรือไม่) ทั้งนี้ นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลถูกตั้งคำถามมากว่า ทำไมเลือกแปรแต่หน่วยงานที่ได้กำไร ส่วนรัฐวิสาหกิจไหนที่ขาดทุน นอกจากรัฐบาลจะไม่แปรรูปแล้ว ยังตัดปัญหาด้วยการยุบทิ้งอีกด้วย เช่น รสพ. เป็นต้น

ส่วนเรื่องความไม่โปร่งใสในการขายหุ้นชินคอร์ปของตระกูลชินวัตรนั้น นายสนธิได้เปิดประเด็นให้สังคมจับตาเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อเดือน พ.ย. 48 เพราะขณะนั้นทราบมาว่า นายเหยียน ปิน หรือนายชาญชัย รวยรุ่งเรือง นักธุรกิจ 2 สัญชาติ ไทย-จีน เป็นนายหน้าเจรจาซื้อหุ้นชิน คอร์ป ให้ไชน่า เทเลคอม รวมทั้งเป็นประธานสาขาพรรคไทยรักไทยในจีน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับแค่ว่า นายเหยียน ปิน เป็นที่ปรึกษาฝ่ายต่างประเทศของตน และเป็นผู้ประสานงานระหว่างพรรคไทยรักไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ตกลงไม่สำเร็จหรืออย่างไรไม่ทราบ จึงขายให้กลุ่มเทมาเส็กของสิงคโปร์แทน ซึ่งข่าวสะพัดตั้งแต่ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พาครอบครัวไปสิงคโปร์ช่วงปีใหม่แล้ว(1-4 ม.ค.49)ว่า ไปเจรจาขายหุ้นชินคอร์ปให้สิงคโปร์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธว่า ไม่จริง แต่ให้หลังไม่กี่วัน(23 ม.ค.49) ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ก็ขายหุ้นชินคอร์ปที่ถืออยู่ทั้งหมดเกือบ 50% ให้เทมาเส็ก ได้เงินมา 7.3 หมื่นล้าน โดยไม่ต้องเสียภาษีสักบาท เพราะมีผู้บริหารกรมสรรพากรช่วยตีความให้ไม่ต้องเสีย!

การขายหุ้นชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้าน ไม่เพียงไม่เสียภาษี ทั้งในส่วนของการขายหุ้นให้เทมาเส็ก และในส่วนที่ลูกๆ (น.ส.พิณทองทา และนายพานทองแท้) ซื้อหุ้นจากกองทุนแอมเพิลริชที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อตั้งเองกับมือ โดยซื้อมาราคาหุ้นละ 1 บาท(329 ล้านหุ้น) และขายต่อให้สิงคโปร์ในราคา 49.25 บาท แต่ยังส่อเค้าว่าน่าจะเป็นการซุกหุ้นภาค 2 ของ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย เพราะไม่มีอะไรยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โอนหุ้นชินคอร์ปที่แอมเพิลริชให้ลูกแล้วจริงๆ และโอนตั้งแต่เมื่อไหร่ โอนก่อนหรือหลังเข้ามาเล่นการเมืองแน่ เพราะหุ้นที่แอมเพิลริช พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยแจ้งให้ ป.ป.ช. ทราบมาก่อน(อยู่ๆ สังคมก็มาจับได้ว่า มีหุ้นชินคอร์ปอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่แอมเพิลริช แล้วหุ้นนั้นก็ถูกโยกมาให้ลูกๆ พ.ต.ท.ทักษิณก่อนขายรวมให้เทมาเส็กเพียง 2 วัน) และการที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า ขายหุ้นให้ลูกแล้ว ก็ไม่เคยมีหลักฐานการรับเงินขายหุ้นแต่อย่างใด แถมเกาะบริติช เวอร์จิ้น ไอส์แลนด์(บีวีไอ) ที่แอมเพิลริชตั้งอยู่ ก็เป็นสถานที่ขึ้นชื่อเรื่องฟอกเงิน ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็เคยพูดกับสาธารชนว่า “ใครเอาเงินไปลงทุนที่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ถือว่าไม่รักชาติ” เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับทำเสียเอง แสดงว่า ตัวเองไม่รักชาติใช่หรือไม่?

ประเด็นขายหุ้นชินคอร์ปโดยไม่เสียภาษี นับเป็นจุดแตกหัก เป็น”ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ประชาชนจำนวนมากทั่วประเทศ รับไม่ได้ที่เมืองไทยมีผู้นำที่ไร้คุณธรรม-จริยธรรม แม้สังคมจะต้องการการตรวจสอบพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องขายหุ้นและซุกหุ้น แต่กระบวนการตรวจสอบก็ถูกปิด เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยคำร้องของ 28 ส.ว.ว่า พ.ต.ท.ทักษิณซุกหุ้นภาค 2 หรือไม่? ถ้าซุกหุ้น จะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่? การไม่รับวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก เท่ากับยิ่งตอกย้ำข้อครหาที่ว่า รัฐบาลแทรกแซงครอบงำองค์กรอิสระ หรือมีคนของรัฐบาลนั่งอยู่ในองค์กรอิสระมากมาย จนทำให้องค์กรอิสระอยู่ในภาวะ”ง่อยเปลี้ยเสียขา” ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้อย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่หน่วยงานรัฐซึ่งน่าจะทำงานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอย่างเต็มที่ กลับออกอาการเหมือนอยากปกป้องรัฐบาลหรือเครือญาติทักษิณมากกว่า เช่น กรมสรรพากร เป็นต้น เพราะช่วยตีความให้การซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปไม่ต้องเสียภาษี

เมื่อคนไทยหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นิสิตนักศึกษา แพทย์ พยาบาล ราชนิกุล หรือประชาชนทั่วไป รับไม่ได้กับผู้นำประเทศที่ไร้คุณธรรม-จริธรรม จากกรณีที่ขายหุ้นชินคอร์ปไม่เสียภาษี กระแสต่อต้านไม่ต้องการผู้นำอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณจึงทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายถึงรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ก็มีผู้ร่วมอุดมการณ์มาร่วมแสดงพลังไม่ต้องการนายกฯ ที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณมากขึ้น กระทั่งรายการเมืองไทยฯ ได้พัฒนากลายเป็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2549 และจัดชุมนุมปราศรัย เพื่อเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออก เนื่องจากหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว เพราะการขายหุ้นชินคอร์ป ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ว่า ไม่เสียภาษี แต่ยังเข้าข่ายขายสมบัติชาติ หรือขายชาติ เพราะขายกิจการที่สงวนไว้สำหรับคนไทย แต่รัฐบาลกลับปูทางการขายหุ้นชินคอร์ปด้วยการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม ให้ต่างชาติเข้ามาถือครองกิจการเหล่านี้ได้มากขึ้นจาก 25% เป็น 49% เพื่อให้ต่างชาติซื้อหุ้นชินคอร์ปได้บิ๊กล็อตขนาดนั้น โดยทันทีที่กฎหมายที่แก้ไขมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์ที่ 20 ม.ค.49 การขายหุ้นชินคอร์ปก็เกิดขึ้นทันทีในวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.

ไม่เพียงบุคคลหลากหลายอาชีพจะร่วมต่อต้านระบอบทักษิณ-ไม่เอาผู้นำประเทศอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่กระแสเชิดชูคนมีคุณธรรม-จริยธรรมยังแผ่กระจายไปทั่ว จะสังเกตเห็นว่า ประธานองคมนตรีและองคมนตรี ต่างได้รับเชิญไปปาฐกถาในงานต่างๆ บ่อยครั้งในระยะหลังนี้ ซึ่งแน่นอนปาฐกถาของบุคคลระดับองคมนตรีหรือประธานองคมนตรี ที่เปรียบเสมือนตัวแทนในหลวง ย่อมต้องให้แง่คิดที่สำคัญและพ่วงด้วยการถ่ายทอดพระราชดำรัสให้ประชาชนคนไทยปฏิบัติตามเพื่อประโยชน์สุขทั้งต่อส่วนตนและส่วนรวม เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้ปาฐกถาเรื่อง “แนวทางพระราชดำริสู่การบริหารจัดการภาครัฐ” ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตเมื่อวันที่ 8 ก.พ. โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ดีใจที่คนไทยทุกระดับพูดถึงเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมกันมากขึ้น และว่า ความเก่ง ความฉลาดเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่มีคุณธรรม ไม่มีจริยธรรม ไม่น่าจะดี พร้อมกันนี้ พล.อ.เปรม ยังได้ยกแนวพระราชดำริ 14 ประการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาแนะนำนำให้ประชาชนปฏิบัติ ได้แก่ “การบริหารประเทศจะต้องไม่เอาประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ของญาติพี่น้อง ประโยชน์ของบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง ต้องเป็นการบริหารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามกฏเกณฑ์ เที่ยงธรรม เที่ยงตรง มีประสิทธิภาพ และผู้บริหารจะต้องมีมาตรฐานเดียวเสมอหน้ากัน ทั่วถึงกัน ต้องไม่มีหลายมาตรฐานหรือไม่มีมาตรฐานเลย หรือไม่ใช้มาตรฐานตามอารมณ์...” แต่ทันทีที่คำพูดของ พล.อ.เปรมปรากฏผ่านสื่อ กระบอกเสียงของรัฐบาลอย่างนายสมัคร สุนทรเวช ก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.เปรมว่า พูดไม่ถูกกาลเทศะ พร้อมกล่าวหาว่า พล.อ.เปรมกำลังเลือกข้าง โดยยกพระราชดำรัสมาอบรมผู้นำให้กระทบนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร!

หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ทนกระแสเรียกร้องให้ลาออกไม่ไหว จึงได้ชิงประกาศ”ยุบสภา”(24 ก.พ.) โดยอ้างว่า บ้านเมืองไม่สงบจากการชุมนุม จึงควรมีการเลือกตั้งใหม่ตามระบอบประชาธิปไตยให้ประชาชนตัดสินว่า ยังต้องการตนและพรรคไทยรักไทยอยู่หรือไม่ แต่การประกาศยุบสภาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะสภาไม่ได้มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว ,พ.ต.ท.ทักษิณ ยุบสภา ทั้งที่อีกไม่กี่วัน จะมีการประชุมร่วม 2 สภา เพื่ออภิปรายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล นั่นหมายถึง ฝ่ายค้านจะได้อภิปรายและซักถามเรื่องขายหุ้นชินคอร์ป คำตอบจะได้ปรากฏแก่สังคม แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ปิดประตูแห่งการตรวจสอบนั้นอีกจนได้(หลังประตูถูกปิดมาครั้งหนึ่งแล้วโดยศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องของ 28 ส.ว.) ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ คงหวังว่า เมื่อเลือกตั้งใหม่ พรรคไทยรักไทยต้องกลับมาแน่ นั่นหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นนายกฯ ได้ใหม่ ปัญหาทั้งหลายที่เคยก่อไว้ ก็เป็นอันจบ เพราะถูกตัดสินด้วยผลการเลือกตั้งแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณจะแก้ปัญหาตัวเองด้วยการยุบสภาหนี ทั้งที่ได้ยืนยันก่อนหน้าว่าจะไม่ยุบ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้กำหนดวันเลือกตั้งใหม่แบบกระชั้นชิด(2 เม.ย.) เพื่อเอื้อต่อพรรคไทยรักไทยด้วย

ทำให้ปัญหาไม่จบ เพราะพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่หลงกล ไม่ยอมเดินตามกติกาที่ พ.ต.ท.ทักษิณขีดไว้ให้ การบอยคอตด้วยการไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งจึงเกิดขึ้น เมื่อพรรคไทยรักไทยไม่มีพรรคคู่แข่งในการเลือกตั้ง จึงมีข่าวว่า พรรคไทยรักไทยพยายามจ้างพรรคเล็กให้ลงประกบ เพื่อจะได้เลี่ยงเกณฑ์ 20% โดยมีหลายฝ่ายออกมาแฉเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก เช่น นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายอีสานกู้ชาติ และทางฟากพรรคประชาธิปัตย์(ซึ่งคณะอนุกรรมการของ กกต.ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธาน ได้สรุปผลสอบว่า ผู้บริหารพรรคไทยรักไทยจ่ายเงินจ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้งจริง กระทั่งนำไปสู่การส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค) ขณะที่ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ก็ทำงานเข้าข้างพรรคไทยรักไทย จัดเลือกตั้งใหม่รอบแล้วรอบเล่า ปล่อยให้ผู้สมัครเวียนเทียนสมัครซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อช่วยพรรคไทยรักไทย สุดท้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องทรงมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เม.ย.49 ว่า การเลือกตั้งพรรคเดียวคนเดียว ไม่เป็นประชาธิปไตย พร้อมทรงขอให้สถาบันศาลช่วยหาทางแก้วิกฤตเลือกตั้ง และต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองได้ประกาศให้การเลือกตั้ง 2 เม.ย.เป็นโมฆะ เพราะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ!

หลังจากนั้น ใครทำอะไรไว้ วิบากกรรมก็เริ่มปรากฏ เช่น กรณี 3 อดีต กกต. พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ,นายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร ถูกศาลอาญาสั่งจำคุก 2 คดีรวมคนละ 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา และถูกตัดสิทธิเลือกตั้งคดีละ 10 ปี ฐานจัดเลือกตั้งใหม่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย-เอื้อประโยชน์ต่อพรรคไทยรักไทย ส่วนอีกคดีผิดฐานประวิงเวลาสรุปผลสอบเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก

ทางด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ แม้หลังเลือกตั้ง 2 เม.ย. จะยอมประกาศเว้นวรรค 1 สมัย ไม่เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากผลเลือกตั้ง พบว่า มีประชาชนเลือกพรรคไทยรักไทยประมาณ 16 ล้านเสียง แต่เสียงที่ไม่เลือกหรือโนโหวตสูงถึง 10 ล้านเสียง ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ดึงดันบริหารประเทศต่อไป คงปกครองประชาชนไม่ได้ เพราะประชาชนแบ่งภาคโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะภาคใต้และใน กทม.สะท้อนชัดเจนว่า ไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เอาพรรคไทยรักไทย!

แต่เมื่อการเลือกตั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างนักหนาว่า เป็นเครื่องตัดสินความเป็นประชาธิปไตย แต่พรรคไทยรักไทย กลับมีส่วนสำคัญที่ทำให้การเลือกตั้ง 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ไม่เป็นประชาธิปไตย จนการเลือกตั้งต้องเป็นโมฆะ และจะต้องเลือกตั้งกันใหม่ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไม่ให้ความชัดเจนใดใดว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ตนจะเว้นวรรคหรือไม่ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็พยายามอาศัยอำนาจรัฐที่มีอยู่เอื้อให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง เช่น กรณี พ.ต.ท.ทักษิณเดินสายทัวร์ภาคเหนือ ภาคอีสาน เพื่อหาเสียงในพิธีแจกโคล้านตัว-แจกโฉนดที่ดิน-แจก สป.ก.4-01 ฯลฯ โดยอ้างว่า ไปตรวจราชการ ,ให้ ครม.อนุมัติงบแก่โครงการต่างๆ ในภาคเหนือ-อีสาน รวมทั้งเตรียมขอ ครม.เพื่อเพิ่มงบเอสเอ็มแอล เพื่อผูกใจรากหญ้าให้มากขึ้น หรือแม้แต่การให้มือไม้ของรัฐบาลสร้างสื่อเทียม เพื่อหาเสียงและโจมตีฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ

นอกจากการใช้อำนาจรัฐและกลไกรัฐหาเสียงแล้ว รัฐบาลทักษิณยังพยายามหลีกเลี่ยง-บิดเบือนการตรวจสอบการทวงคืนสมบัติชาติที่ตระกูลชินวัตรได้ขายให้เทมาเส็ก เช่น ศาลปกครอง มีคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการที่สั่งลดค่าสัมปทานที่ไอทีวีต้องจ่ายให้สำนักปลัดสำนักนายกฯ (สปน.) จากปีละ 1 พันล้าน เหลือแค่ 230 ล้าน คำสั่งของศาลปกครองส่งผลให้ไอทีวีต้องกลับไปจ่ายค่าสัมปทานในอัตราเดิมคือปีละ 1 พันล้าน นอกจากนี้ไอทีวียังต้องเสียค่าปรับให้ สปน.อีกประมาณ 7.5 หมื่นล้าน แต่ไม่ทราบว่า เพราะไอทีวีเป็น 1 ในธุรกิจที่ตระกูลชินวัตรขายให้เทมาเส็กหรือไม่ รัฐบาลจึงได้สั่งให้ สปน.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสัญญาระหว่างไอทีวีกับ สปน.ใหม่ โดยมีคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าง พล.ต.ต.พีระพันธุ์ เปรมภูติ ที่ปรึกษานายกฯ เป็นประธาน แถมภายหลังยังได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดสำนักนายกฯ อีก ท่ามกลางเสียงครหาว่า ผลสอบของคณะกรรมการชุดนี้อาจจบลงด้วยการที่ไอทีวีไม่ต้องเสียค่าปรับ 7.5 หมื่นล้านก็เป็นได้

หรืออย่างกรณีผลสอบความเป็นนอมินีของบริษัท กุหลาบแก้ว ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สรุปว่า กุหลาบแก้วเป็นนอมินีหรือเป็นร่างทรงของเทมาเส็กที่ซื้อหุ้นชินคอร์ป ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทดังกล่าวเป็นต่างด้าว ซึ่งผิดกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว นั่นหมายถึงดีลชินคอร์ป 7.3 หมื่นล้านอาจโมฆะ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ย่อมกระทบต่อสถานะการเงินของตระกูลชินวัตร เราจึงได้เห็นรัฐบาลทักษิณสั่งกระทรวงพาณิชย์ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดเพื่อสอบความเป็นนอมินีของกุหลาบแก้วใหม่ ทั้งที่นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย ชี้ว่า รัฐไม่มีอำนาจตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบใหม่ เพราะอำนาจอยู่ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า การกระทำของรัฐบาลจึงไม่เพียงเป็นการประวิงเวลาผลสอบ เพื่อไม่ให้เรื่องนี้ถึงมือตำรวจและศาล เพื่อดำเนินคดี แต่รัฐบาลยังหวังผลเบี่ยงเบนผลสอบ ให้กุหลาบแก้วไม่เป็นนอมินีด้วยใช่หรือไม่?

นี่ยังไม่รวมถึงกรณี สตง.พยายามตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรมสรรพากรว่า การขายหุ้นชินคอร์ปของตระกูลชินวัตรไม่ต้องเสียภาษีจริงหรือ? โดยเฉพาะกรณีแอมเพิลริชขายหุ้นให้ลูกๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนักวิชาการและนักกฎหมายด้านภาษีชี้ชัดว่า เข้าข่ายต้องเสียภาษี แต่ดูเหมือนกรมสรรพากรจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับ สตง.เท่าที่ควร คงต้องดูว่า เรื่องนี้ที่สุดแล้วจะจบลงอย่างไร หรือกรณีผลสอบทุจริตซีทีเอกซ์สุวรรณภูมิ ที่มีข่าวว่า สตง.สรุปผลสอบแล้วว่า มีการทุจริตจริง และได้ส่งผลสอบให้ คตง.(คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน) แล้ว แต่อาจหวังพึ่งได้ยาก เพราะท่วงท่าของ คตง. ค่อนข้างส่อว่าเข้าข้างรัฐบาล โดยล่าสุดเมื่อ สตง.พยายามตรวจสอบเรื่องภาษีหุ้นชิน ทาง คตง.ก็พยายามตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาขึ้นมา ท่ามกลางเสียงครหาว่า มีการตั้งคนของรัฐบาลเข้ามาด้วย และอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนผลสรุปให้หุ้นชินคอร์ปไม่ต้องเสียภาษี(ล่าสุดคณะปฏิรูปฯสั่งยุบคตง.แล้ว และให้ ผู้ว่าฯสตง.ทำหน้าที่แทน)

ที่กล่าวมา เป็นเพียงตัวอย่างที่สะท้อนว่า การบริหารงานและการใช้อำนาจของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ขาดความโปร่งใส-ไร้ความชอบธรรม ส่อทุจริตและเอื้อประโยชน์ต่อตนเองเพียงใด และตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอำนาจ ยังเป็นรักษาการนายกฯ กระบวนการตรวจสอบความไม่โปร่งใสหรือข้อกล่าวหาต่างๆ ที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณและเครือญาติหรือรัฐบาล ก็ไม่มีวันที่จะเดินได้โดยสะดวก เพราะอำนาจรัฐสามารถแทรกแซง-บิดเบือน-ถ่วงเวลาอย่างไรก็ได้ นับประสาอะไรกับการกระทำอื่นๆ ที่แม้ไม่สมควร แต่ถ้ารัฐบาลจะทำเสียอย่าง ก็ย่อมทำได้ เช่น จะเดินหน้าแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ได้กำไรต่อไป ส่วน ปตท.ที่จ่อคิวอาจถูกศาลปกครองสั่งเพิกถอนเหมือน กฟผ. มือไม้รัฐบาลก็รีบออกมาชี้นำแกมขู่ว่า การแปรรูป ปตท.จะโมฆะไม่ได้ ตลาดหุ้นจะพัง เศรษฐกิจจะทรุด ,ส่วนการทำเอฟทีเอกับประเทศต่างๆ แม้มีเสียงคัดค้านจากประชาชน รัฐบาลก็ไม่สน ,โครงการเมกะโปรเจกต์หลายแสนล้าน ก็จะสานต่อ แม้จะสวนทางกับพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง ,อยากแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ โดยให้ข้าราชการทำงานในหน้าที่ใหม่ทันที ไม่ต้องรอให้โปรดเกล้าฯ ลงมาก่อน ก็ทำได้ ,อยากโยกน้องเขยข้ามฟากจากกระทรวงหนึ่ง ไปนั่งคุมอีกกระทรวงหนึ่ง ก็ทำได้ โดยไม่ต้องเห็นหัวข้าราชการประจำกระทรวงนั้นที่รอจ่อคิวขึ้นมา ,อยากแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร ให้ใครข้ามห้วยข้ามหัวใคร ก็ทำได้ ไม่ต้องสนใจเรื่องลำดับและความอาวุโส จะโยกย้ายทหารโดยไม่ให้ผ่าน กกต. ทั้งที่อยู่ในช่วง พ.ร.ฎ.เลือกตั้งมีผลบังคับใช้แล้ว ก็สามารถทำได้ พอมีทหารทนไม่ได้ไปร้องขอความเป็นธรรมจาก พล.อ.เปรม ฝ่ายการเมืองก็ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบเพื่อเอาโทษทั้งทางวินัยและอาญา

นี่ยังไม่รวมพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชอบพูดจาจาบจ้วงทั้งต่อสถาบัน และ พล.อ.เปรม เช่น “ถ้าตนไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี” ,การพูดจาใส่ร้ายว่า มี“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ,การพูดกระแทกผู้ใหญ่ในบ้านเมือง(ระหว่างตรวจราชการที่ภาคเหนือ-ภาคอีสานเมื่อไม่นานนี้)ว่า “ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองชอบพูดเลอะเทอะ”หรือแม้แต่เว็บไซต์ ”มนุษยดอทคอม” ที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบัน ซึ่งนายสนธิ และนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รักษาการ ส.ว. กทม.ได้ออกมาแฉว่า มีบุคคลในรัฐบาลสนับสนุนเว็บไซต์ดังกล่าวอยู่ เหล่านี้เป็นต้น

หลายพฤติกรรมที่สั่งสมและไม่ควรมีอยู่ในตัวผู้นำประเทศ บวกการใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียงประชาชนน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องมีวันนี้ ...วันที่ต้องพบกับจุดจบ คือ หมดอำนาจในการบริหารประเทศ ,หมดแล้วซึ่งความเป็นรักษาการนายกฯ ,หมดสิ้นรัฐบาลรักษาการพรรคไทยรักไทย ด้วยการปฏิวัติของคณะปฏิรูปการปกครองในระบบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นี่คือ เครื่องสะท้อนว่า “ใครทำสิ่งใดไว้ ย่อมต้องได้รับผลนั้น” อำนาจไม่ได้มีไว้ให้รัฐบาลใดใช้ตามอำเภอใจ หากใช้อำนาจในทางที่ผิด ใช้อำนาจด้วยความไม่ซื่อสัตย์-สุจริต ย่อมมีวันต้องหมดอำนาจหรือถูกยึดอำนาจได้ ส่วนหลังจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐมนตรีในรัฐบาล จะถึงขั้นถูกยึดทรัพย์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ว่า...คณะปฏิรูปฯ จะเปิดทางให้มีการพิสูจน์-ตรวจสอบอย่างจริงจังแค่ไหน คงมิใช่ว่า “ใครทำผิดแล้ว เมื่อลาออกแล้วหรือหมดอำนาจแล้ว ก็แล้วไป” ใช่หรือไม่?





กำลังโหลดความคิดเห็น