“นักวิชาการ” สวด “ทรท.” มอมประชาชน เสพติดประชานิยม ชี้นายกรัฐมนตรีสมัยนี้ต้องเก่งในเรื่องการแสดงการโฆษณา การตลาด เผยรัฐบาลทักษิณอยู่มา 5 ปี ไม่เคยมีการประเมินตัวเอง แต่กลับถูกสถาบันประเมินความเชื่อถือของต่างประเทศประเมิน
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อเวลา 13.30 น. สมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนาเรื่อง “กระบวนทัศน์ใหม่ในการปฎิรูปการเมือง การกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน” โดยนายวิทยากร เชียงกูล คณะบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า สาเหตุที่พรรคการเมืองต้องมีนโยบายใหม่นั้นต้องอธิบายถึงปัญหาของนโยบายเก่าก่อน ที่ผ่านมานายบัณทูร ล่ำซำ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทั้งผู้นำรัฐบาล และผู้นำฝ่ายค้านนั้น โดยเปรียบเทียบกับพระเอกลิเกนั้น ถ้าเทียบกับสมัยใหม่ก็คือ นักแสดงหมายความว่านายกรัฐมนตรีสมัยนี้ต้องเก่งในเรื่องการแสดงการโฆษณา การตลาด เพื่อครอบงำประชาชน ซึ่งเขาก็มีความสามารถขนาดทำให้คนหลงเสน่ห์ได้จริงๆ ถึงขนาดตีกันหรือจะฆ่ากันเพื่อพระเอกลิเกคนเดียว และพระเอกลิเกคนนี้ก็ยังพยายามทวงหินถามทางและหลอกว่าลิเกคณะนี้ยังเล่นเก่งอยู่ คนเบื่อหน้าพระเอกก็อาจจะเปลี่ยนหน้านิดหน่อย ก็ขอให้ระมัดระวังและต้องวิเคราะห์ทั้งหมด ว่าทำไมคนคนหนึ่งถึงทำให้ประเทศชาติแตกแยกได้ขนาดนี้
นายวิทยากร กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายพรรคการเมืองที่ผ่านมายังหลงทาง และหลอกประชาชนมาตลอด โดยยึดตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง ทั้งที่ก่อนปี 40 เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตกว่าปีละ 10% แต่เราก็ยังพังอยู่ดี ปัญหาตอนนี้คือความแตกแยกและช่องว่างในการรับรู้ข่าวสารและการศึกษา โดยทุกพรรคยังอ้างเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งหากยึดถือเศรษฐกิจพอเพียงจริงก็ต้องอยู่ตรงข้ามกับระบบทักษิณ และโลกาภิวัตน์ซึ่งยึดทุนนิยม ดังนั้น แนวทางแก้ไขพรรคการเมืองต้องเน้นนโยบายใหม่ ที่เป็นนโยบายในเชิงสังคมนิยมแบบเป็นกลาง หรือแบบสหกรณ์ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น เช่นเดียวกับประเทศในแถบละตินอเมริกาที่หันมายึดนโยบายชาตินิยม ยึดประโยชน์ของชาติเป็นหลักในการต่อรองกับบริษัทน้ำมันข้ามชาติ ดั้งนั้น ไม่ว่านายกฯ จะเป็นทักษิณ หรือสมคิด ก็พังอยู่ดี หากเรายังบริโภคน้ำมันราคาแพง และเอาเงินในอนาคตของชาติมาใช้ล่วงหน้าผ่านโครงการประชานิยม
ขณะที่ นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ คณะบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า กล่าวว่า นโยบายของพรรคการเมืองยังไม่ใช่นโยบายสาธารณะ แต่หากพรรคการเมืองนั้นได้รับการเลือกตั้งเข้ามา แล้วผลักดันทำตามนโยบายที่ประกาศนโยบายนั้นจะกลายเป็นนโยบายสาธารณะ พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องสู้เพื่อให้ชนะการเลือกตั้งเพื่อนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ แต่คำถามอยู่ที่ว่าที่ผ่านมาสังคมไทย พรรคการเมืองไม่เคยมีการศึกษาถึงปัญหาสาธารณะอย่างครอบคลุมในเชิงลึกอย่างแท้จริง จึงแก้ไขปัญหาพื้นฐานส่วนใหญ่ของคนในสังคมไม่ได้ แม้กระทั่งพรรคไทยรักไทยเองก็ขาดการวิเคราะห์เชิงลึกถึงปัญหานี้ แต่รัฐบาลกลับใช้เงินจำนวนมากผ่านโครงการประชานิยม สร้างภาพให้หวือหวาแทนการแก้ไขปัญหาจริง เป็นการสร้างสีสันที่ฉาบฉวย และสุดท้ายทำให้คนด้อยโอกาสคนจนเสพติดนโบยายดังกล่าว ซึ่งต้องยอมรับว่านโยบายเหล่านี้จะใช้ได้ผลในประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศกำลังพัฒนา เพราะคนจนจะเป็นเหยื่อที่รับประโยชน์จากรัฐเบื้องต้นโดยไม่กลัวการเป็นหนี้สินในระยะยาว เพียงขอให้ได้ก่อน แล้วค่อยปลดหนี้ทีหลังก็ยอม วิธีการนี้เผด็จการณ์มักจะใช้กับคนจนเพราะต้องการให้เขาล้าหลังและซื้อเขาได้ตลอด ดังนั้น นโยบายประชานิยมจึงเหมือนยาเสพติดที่ประชาชนเลิกยาก ถ้าเลือกตั้งมาโดยไม่สุจริตยุติธรรมการเลือกตั้งก็เป็นเพียงเครื่องมือในระบอบประชาธิปไตยที่ให้เผด็จการณ์ก้าวเข้ามาสู่อำนาจ
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า แทนที่พรรคการเมืองจะเสนอนโยบายหลักในการแก้ไขปัญหา แต่กลับมาช่วงชิงในการสร้างนโยบายช่วงเลือกตั้งให้หวือหวา หรือเรียกว่า Election policy ซึ่งในที่สุดนโยบายเหล่านี้ก็จะครอบงำนโยบายอื่นทั้งหมด แม้รัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด พอมาเจอ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังง่อยเปลี้ยเสียขา ทุกฝ่ายจึงชูการปฏิรูปการเมืองใหม่ ซึ่งตนอยากจะเสนอ ดังนี้ 1.ให้ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถทำงานถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายบริหารได้ 2.ส่งเสริมให้ แต่ทั้งนี้จะต้องไม่คุกคามเสรีภาพของรัฐบาลเพื่อประโยชน์ตัวเอง เช่น การตั้งกลุ่มมุ้ง วัง มาเรียกร้องตำแหน่งโควตารัฐมนตรี 3.เน้นการตรวจสอบทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งตนทราบมาว่าขณะนี้ ป.ป.ช.มีคดีอยู่กว่า 8 พันคดี ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 30 ปี ดังนั้น ในการตรวจสอบต้องให้รวดเร็วและง่าย เช่น ส.ส.50 เสียง ก็ให้สามารถเข้าชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีได้ และ 4.องค์กรอิสระต้องมีความอิสระจริงหากเกี่ยวพันกับนักการเมือง ก็จะถูกแทรกแซง โดยขอให้ดูผลงานของ ส.ว.รักษาการชุดนี้ที่บล็อกโหวต กกต. แม้จะอ้างว่าทั้ง 10 คนผ่านการคัดสรรจากศาลมาแล้ว แต่คุณก็คัดคนที่มีผลงานมีประวัติที่แข็งออกไปหมด ซึ่งเขาไม่มีความอายเลย ตนทราบข่าวมาว่าพอชนะเขาก็เลี้ยงฉลองชัยที่สามารถกำจัดคู่แข่งที่น่ากลัวสำเร็จ
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ต้องมีการปฎิรูประบบราชการให้โปร่งใส รัฐบาลทักษิณอยู่มา 5 ปี ไม่เคยมีการประเมินตัวเอง แต่กลับถูกสถาบันประเมินความเชื่อถือของต่างประเทศประเมิน ซึ่งพบว่ารัฐบาลสิงคโปร์ได้ 9.4 เต็ม 10 คะแนน แต่ไทยได้ 3.8 คะแนน ที่ตนโกรธมาก คือ รัฐบาลสิงคโปร์กลับมาใช้วิธีไม่ซื่อสัตย์ในการซื้อหุ้นเทมาเส็กในประเทศไทย คือมาทำสิ่งไม่ดีนอกประเทศตัวเอง อย่างนี้มันไม่ดีจริง เห็นคนอื่นอ่อนแอก็เข้ามาจัดการ อีกเรื่องคือต้องสร้างในเรื่องการศึกษา เพราะความรู้คืออำนาจ การสร้างชาติต้องสร้างคน ต้องให้เงินเดือนครูมาก แต่ในความเป็นจริงเงินเดือนครูกลับน้อย ตนอยากให้พรรคการเมืองเสนอนโยบายทีโดนครูทั้งประเทศ 4 แสนคน ซึ่งมีหนี้สินอยู่ 4.8 ล้านบาท อีกปัญหาคือต้องมีนโยบายในเรื่องความยากจน ที่ต้องส่งเสริมด้านเกษตรกรรมโดยเฉพาะราคาพืชผลการเกษตรต้องให้คุ้มกับต้นทุนการผลิต เพราะหนี้สินของเกษตรกรส่วนใหญ่เกิดจากการขายผลผลิตได้ต่ำกว่าทุนและเป็นหนี้สะสม
ด้าน นายอัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า ที่ผ่านนักการเมืองโกงทุกอย่างที่ขวางหน้ามีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น มีทั้งเข้ามาหาผลประโยชน์ให้ตัวเองและพรรคพวกเห็นชัดที่สุดจากรัฐบาลชุดนี้ ในทัศนะของตนเห็นว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดคือปัญหาความเป็นธรรมในสังคมซึ่งนับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชนิดมือใครยาวสาวได้สาวเอา จนเป็นทุนนิยมผูกขาดเต็มรูปแบบในรัฐบาลชุดนี้ อีกทั้งการศึกษาของประเทศไทยที่ผ่านมาถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แพ้แม้กระทั่งประเทศเวียดนาม เพราะเราไม่เคยเอาคนเก่งมาเป็นครู แต่คนที่เป็นครูคือคนที่ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไรแล้ว นอกจากนี้ยังมีปัญหาการมอมเมาเกษตรกรให้ใช้ปุ๋ยเคมีมีตั้งทุนที่สูง ผลผลิตต่ำรายได้ต่ำ และสุดท้าย คือ ปัญหาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังไม่รวมถึงปัญหาการรุกรานทางวัฒนธรรมที่มอมเมาเยาวชนของชาติ ปล่อยให้มีการนำตู้เกมส์เข้ามาโดยรัฐบาลละเลยการแก้ปัญหาต่อประชาชน ยังคิดว่าประชาชนยิ่งโง่ยิ่งดีปกครองง่าย
นายอัษฎางค์ กล่าวต่อว่า นโยบายพรรคการเมืองเริ่มมีความสำคัญและถูกใจประชาชนเมื่อมีรัฐธรรมนูญปี 40 เพราะรัฐบาลทักษิณใช้นโยบายขายตรง ใช้ประชานิยม เอาเงินของอนาคตมาแจกชาวบ้าน ซึ่งไม่ยั่งยืนเหมือนกับรัฐบาลเฟอร์ดินาน มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ ที่ใช้นโยบายนี้ถึง 5 ปี โดยอยู่ในอำนาจ 13 ปี แต่นั่นก็เป็นเงินของสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่างจากประเทศไทย สิ่งเหล่านี้สร้างนิสัยไม่ดีให้ประชาชนโดยเฉพาะคนจนที่หลงวัตถุ เป็นการเพิ่มหนี้สินทำให้ชาติเสียหาย ประชาชนแบ่งฝ่าย จนขณะนี้ทุกพรรคการเมืองต้องเสนอนโยบายประชานิยม จนไม่กล้าเสนอนโยบายใหม่ที่แหวกแนวเพื่อแก้ปัญหาที่แท้จริง ตนอยากเสนอพรรคที่จะเป็นรัฐบาลต้องทำ ต้องมีนโยบายสาธารณะที่สามารถแก้ไขปัญหาของชาติได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม และต้องมีการประเมินผลด้วย สำหรับการคอร์รัปชันตนทราบมาว่ามีคดีค้างกว่า 1 หมื่นคดี ไม่ใช่แค่ 8 พันคดี ที่สำคัญถ้ามี ป.ป.ช. คนที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ในขณะนี้ต้องติดคุกแน่ ในคดีคลองด่านเขาจึงต้องชลอเพื่อให้หมดอายุความก่อนคลอด ป.ป.ช. หากพรรคฝ่ายค้านพึ่งข้อมูลทางการศึกษาโดยการสำรวจความเห็นของประชาชนโดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็จะสามารถรู้ข้อมูลความต้องการที่แท้จริงของประชาชนได้
“พรรคการเมืองที่เป็นคู่ต่อสู้ต้องเสนอนโยบายที่พิสูจน์ให้เห็นว่านโยบายประชานิยมที่ผ่านมาเป็นสิ่งไม่จริง และเราจะทำอะไรบ้างหากเป็นรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปการเมืองก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน ในช่วงปี 37 และ 39 ถึงแม้ในหัวใจของคนทั้ง 2 จะไม่ได้มีเรื่องนี้อยู่เลย ซึ่งการปฎิรูปการเมืองยังถือเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์พอสมควร แต่ต้องยึดประชาชนเป็นหลักไม่ใช่เพื่อ ส.ส. โดยนโยบายปฏิรูปการเมืองที่สำคัญนั้น ต้องให้คนกลางหรือคณะกรรมการกลางเป็นหลัก” นายสมบัติ กล่าว
นายอมร จันทรสมบูรณ์ นักวิชาการอิสระ รัฐธรรมนูญปี 40 เป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการณ์ที่ทำให้ ส.ส.ไม่เป็นอิสระ เพราะผู้ร่างเปิดโอกาสให้นายทุนเข้ามาตั้งพรรคการเมือง จนกลายเป็นกลุ่มทุนธุรกิจ ที่เปรียบเสมือนการตั้งโต๊ะอาหารไว้รอให้บรรดานายทุนรวมทุนกันตั้งพรรคเพื่อมาผูกขาดอำนาจรัฐและคอร์รัปชัน จึงถือเป็นความล้มเหลวในการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 1 ที่ก่อให้เกิดเผด็จการรัฐสภา และมีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งทางนโยบาย โดยการตรากฎหมายเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมือง ดังนั้น การปฏิรูปการเมืองรอบ 2 จะสำเร็จหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับผู้ร่างรัฐธรรมนูญ สำหรับตนเสนอให้มาจาก ส.ส. ส.ว. และการแต่งตั้งโดยผ่านองคมนตรี
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อเวลา 13.30 น. สมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนาเรื่อง “กระบวนทัศน์ใหม่ในการปฎิรูปการเมือง การกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน” โดยนายวิทยากร เชียงกูล คณะบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า สาเหตุที่พรรคการเมืองต้องมีนโยบายใหม่นั้นต้องอธิบายถึงปัญหาของนโยบายเก่าก่อน ที่ผ่านมานายบัณทูร ล่ำซำ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทั้งผู้นำรัฐบาล และผู้นำฝ่ายค้านนั้น โดยเปรียบเทียบกับพระเอกลิเกนั้น ถ้าเทียบกับสมัยใหม่ก็คือ นักแสดงหมายความว่านายกรัฐมนตรีสมัยนี้ต้องเก่งในเรื่องการแสดงการโฆษณา การตลาด เพื่อครอบงำประชาชน ซึ่งเขาก็มีความสามารถขนาดทำให้คนหลงเสน่ห์ได้จริงๆ ถึงขนาดตีกันหรือจะฆ่ากันเพื่อพระเอกลิเกคนเดียว และพระเอกลิเกคนนี้ก็ยังพยายามทวงหินถามทางและหลอกว่าลิเกคณะนี้ยังเล่นเก่งอยู่ คนเบื่อหน้าพระเอกก็อาจจะเปลี่ยนหน้านิดหน่อย ก็ขอให้ระมัดระวังและต้องวิเคราะห์ทั้งหมด ว่าทำไมคนคนหนึ่งถึงทำให้ประเทศชาติแตกแยกได้ขนาดนี้
นายวิทยากร กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายพรรคการเมืองที่ผ่านมายังหลงทาง และหลอกประชาชนมาตลอด โดยยึดตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง ทั้งที่ก่อนปี 40 เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตกว่าปีละ 10% แต่เราก็ยังพังอยู่ดี ปัญหาตอนนี้คือความแตกแยกและช่องว่างในการรับรู้ข่าวสารและการศึกษา โดยทุกพรรคยังอ้างเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งหากยึดถือเศรษฐกิจพอเพียงจริงก็ต้องอยู่ตรงข้ามกับระบบทักษิณ และโลกาภิวัตน์ซึ่งยึดทุนนิยม ดังนั้น แนวทางแก้ไขพรรคการเมืองต้องเน้นนโยบายใหม่ ที่เป็นนโยบายในเชิงสังคมนิยมแบบเป็นกลาง หรือแบบสหกรณ์ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น เช่นเดียวกับประเทศในแถบละตินอเมริกาที่หันมายึดนโยบายชาตินิยม ยึดประโยชน์ของชาติเป็นหลักในการต่อรองกับบริษัทน้ำมันข้ามชาติ ดั้งนั้น ไม่ว่านายกฯ จะเป็นทักษิณ หรือสมคิด ก็พังอยู่ดี หากเรายังบริโภคน้ำมันราคาแพง และเอาเงินในอนาคตของชาติมาใช้ล่วงหน้าผ่านโครงการประชานิยม
ขณะที่ นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ คณะบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า กล่าวว่า นโยบายของพรรคการเมืองยังไม่ใช่นโยบายสาธารณะ แต่หากพรรคการเมืองนั้นได้รับการเลือกตั้งเข้ามา แล้วผลักดันทำตามนโยบายที่ประกาศนโยบายนั้นจะกลายเป็นนโยบายสาธารณะ พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องสู้เพื่อให้ชนะการเลือกตั้งเพื่อนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ แต่คำถามอยู่ที่ว่าที่ผ่านมาสังคมไทย พรรคการเมืองไม่เคยมีการศึกษาถึงปัญหาสาธารณะอย่างครอบคลุมในเชิงลึกอย่างแท้จริง จึงแก้ไขปัญหาพื้นฐานส่วนใหญ่ของคนในสังคมไม่ได้ แม้กระทั่งพรรคไทยรักไทยเองก็ขาดการวิเคราะห์เชิงลึกถึงปัญหานี้ แต่รัฐบาลกลับใช้เงินจำนวนมากผ่านโครงการประชานิยม สร้างภาพให้หวือหวาแทนการแก้ไขปัญหาจริง เป็นการสร้างสีสันที่ฉาบฉวย และสุดท้ายทำให้คนด้อยโอกาสคนจนเสพติดนโบยายดังกล่าว ซึ่งต้องยอมรับว่านโยบายเหล่านี้จะใช้ได้ผลในประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศกำลังพัฒนา เพราะคนจนจะเป็นเหยื่อที่รับประโยชน์จากรัฐเบื้องต้นโดยไม่กลัวการเป็นหนี้สินในระยะยาว เพียงขอให้ได้ก่อน แล้วค่อยปลดหนี้ทีหลังก็ยอม วิธีการนี้เผด็จการณ์มักจะใช้กับคนจนเพราะต้องการให้เขาล้าหลังและซื้อเขาได้ตลอด ดังนั้น นโยบายประชานิยมจึงเหมือนยาเสพติดที่ประชาชนเลิกยาก ถ้าเลือกตั้งมาโดยไม่สุจริตยุติธรรมการเลือกตั้งก็เป็นเพียงเครื่องมือในระบอบประชาธิปไตยที่ให้เผด็จการณ์ก้าวเข้ามาสู่อำนาจ
นายสมบัติ กล่าวต่อว่า แทนที่พรรคการเมืองจะเสนอนโยบายหลักในการแก้ไขปัญหา แต่กลับมาช่วงชิงในการสร้างนโยบายช่วงเลือกตั้งให้หวือหวา หรือเรียกว่า Election policy ซึ่งในที่สุดนโยบายเหล่านี้ก็จะครอบงำนโยบายอื่นทั้งหมด แม้รัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด พอมาเจอ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังง่อยเปลี้ยเสียขา ทุกฝ่ายจึงชูการปฏิรูปการเมืองใหม่ ซึ่งตนอยากจะเสนอ ดังนี้ 1.ให้ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถทำงานถ่วงดุลอำนาจกับฝ่ายบริหารได้ 2.ส่งเสริมให้ แต่ทั้งนี้จะต้องไม่คุกคามเสรีภาพของรัฐบาลเพื่อประโยชน์ตัวเอง เช่น การตั้งกลุ่มมุ้ง วัง มาเรียกร้องตำแหน่งโควตารัฐมนตรี 3.เน้นการตรวจสอบทุจริต คอร์รัปชัน ซึ่งตนทราบมาว่าขณะนี้ ป.ป.ช.มีคดีอยู่กว่า 8 พันคดี ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 30 ปี ดังนั้น ในการตรวจสอบต้องให้รวดเร็วและง่าย เช่น ส.ส.50 เสียง ก็ให้สามารถเข้าชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีได้ และ 4.องค์กรอิสระต้องมีความอิสระจริงหากเกี่ยวพันกับนักการเมือง ก็จะถูกแทรกแซง โดยขอให้ดูผลงานของ ส.ว.รักษาการชุดนี้ที่บล็อกโหวต กกต. แม้จะอ้างว่าทั้ง 10 คนผ่านการคัดสรรจากศาลมาแล้ว แต่คุณก็คัดคนที่มีผลงานมีประวัติที่แข็งออกไปหมด ซึ่งเขาไม่มีความอายเลย ตนทราบข่าวมาว่าพอชนะเขาก็เลี้ยงฉลองชัยที่สามารถกำจัดคู่แข่งที่น่ากลัวสำเร็จ
นายสมบัติ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ต้องมีการปฎิรูประบบราชการให้โปร่งใส รัฐบาลทักษิณอยู่มา 5 ปี ไม่เคยมีการประเมินตัวเอง แต่กลับถูกสถาบันประเมินความเชื่อถือของต่างประเทศประเมิน ซึ่งพบว่ารัฐบาลสิงคโปร์ได้ 9.4 เต็ม 10 คะแนน แต่ไทยได้ 3.8 คะแนน ที่ตนโกรธมาก คือ รัฐบาลสิงคโปร์กลับมาใช้วิธีไม่ซื่อสัตย์ในการซื้อหุ้นเทมาเส็กในประเทศไทย คือมาทำสิ่งไม่ดีนอกประเทศตัวเอง อย่างนี้มันไม่ดีจริง เห็นคนอื่นอ่อนแอก็เข้ามาจัดการ อีกเรื่องคือต้องสร้างในเรื่องการศึกษา เพราะความรู้คืออำนาจ การสร้างชาติต้องสร้างคน ต้องให้เงินเดือนครูมาก แต่ในความเป็นจริงเงินเดือนครูกลับน้อย ตนอยากให้พรรคการเมืองเสนอนโยบายทีโดนครูทั้งประเทศ 4 แสนคน ซึ่งมีหนี้สินอยู่ 4.8 ล้านบาท อีกปัญหาคือต้องมีนโยบายในเรื่องความยากจน ที่ต้องส่งเสริมด้านเกษตรกรรมโดยเฉพาะราคาพืชผลการเกษตรต้องให้คุ้มกับต้นทุนการผลิต เพราะหนี้สินของเกษตรกรส่วนใหญ่เกิดจากการขายผลผลิตได้ต่ำกว่าทุนและเป็นหนี้สะสม
ด้าน นายอัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า ที่ผ่านนักการเมืองโกงทุกอย่างที่ขวางหน้ามีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น มีทั้งเข้ามาหาผลประโยชน์ให้ตัวเองและพรรคพวกเห็นชัดที่สุดจากรัฐบาลชุดนี้ ในทัศนะของตนเห็นว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดคือปัญหาความเป็นธรรมในสังคมซึ่งนับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชนิดมือใครยาวสาวได้สาวเอา จนเป็นทุนนิยมผูกขาดเต็มรูปแบบในรัฐบาลชุดนี้ อีกทั้งการศึกษาของประเทศไทยที่ผ่านมาถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แพ้แม้กระทั่งประเทศเวียดนาม เพราะเราไม่เคยเอาคนเก่งมาเป็นครู แต่คนที่เป็นครูคือคนที่ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไรแล้ว นอกจากนี้ยังมีปัญหาการมอมเมาเกษตรกรให้ใช้ปุ๋ยเคมีมีตั้งทุนที่สูง ผลผลิตต่ำรายได้ต่ำ และสุดท้าย คือ ปัญหาการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังไม่รวมถึงปัญหาการรุกรานทางวัฒนธรรมที่มอมเมาเยาวชนของชาติ ปล่อยให้มีการนำตู้เกมส์เข้ามาโดยรัฐบาลละเลยการแก้ปัญหาต่อประชาชน ยังคิดว่าประชาชนยิ่งโง่ยิ่งดีปกครองง่าย
นายอัษฎางค์ กล่าวต่อว่า นโยบายพรรคการเมืองเริ่มมีความสำคัญและถูกใจประชาชนเมื่อมีรัฐธรรมนูญปี 40 เพราะรัฐบาลทักษิณใช้นโยบายขายตรง ใช้ประชานิยม เอาเงินของอนาคตมาแจกชาวบ้าน ซึ่งไม่ยั่งยืนเหมือนกับรัฐบาลเฟอร์ดินาน มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ ที่ใช้นโยบายนี้ถึง 5 ปี โดยอยู่ในอำนาจ 13 ปี แต่นั่นก็เป็นเงินของสหรัฐอเมริกา ซึ่งต่างจากประเทศไทย สิ่งเหล่านี้สร้างนิสัยไม่ดีให้ประชาชนโดยเฉพาะคนจนที่หลงวัตถุ เป็นการเพิ่มหนี้สินทำให้ชาติเสียหาย ประชาชนแบ่งฝ่าย จนขณะนี้ทุกพรรคการเมืองต้องเสนอนโยบายประชานิยม จนไม่กล้าเสนอนโยบายใหม่ที่แหวกแนวเพื่อแก้ปัญหาที่แท้จริง ตนอยากเสนอพรรคที่จะเป็นรัฐบาลต้องทำ ต้องมีนโยบายสาธารณะที่สามารถแก้ไขปัญหาของชาติได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม และต้องมีการประเมินผลด้วย สำหรับการคอร์รัปชันตนทราบมาว่ามีคดีค้างกว่า 1 หมื่นคดี ไม่ใช่แค่ 8 พันคดี ที่สำคัญถ้ามี ป.ป.ช. คนที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ในขณะนี้ต้องติดคุกแน่ ในคดีคลองด่านเขาจึงต้องชลอเพื่อให้หมดอายุความก่อนคลอด ป.ป.ช. หากพรรคฝ่ายค้านพึ่งข้อมูลทางการศึกษาโดยการสำรวจความเห็นของประชาชนโดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็จะสามารถรู้ข้อมูลความต้องการที่แท้จริงของประชาชนได้
“พรรคการเมืองที่เป็นคู่ต่อสู้ต้องเสนอนโยบายที่พิสูจน์ให้เห็นว่านโยบายประชานิยมที่ผ่านมาเป็นสิ่งไม่จริง และเราจะทำอะไรบ้างหากเป็นรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปการเมืองก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน ในช่วงปี 37 และ 39 ถึงแม้ในหัวใจของคนทั้ง 2 จะไม่ได้มีเรื่องนี้อยู่เลย ซึ่งการปฎิรูปการเมืองยังถือเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์พอสมควร แต่ต้องยึดประชาชนเป็นหลักไม่ใช่เพื่อ ส.ส. โดยนโยบายปฏิรูปการเมืองที่สำคัญนั้น ต้องให้คนกลางหรือคณะกรรมการกลางเป็นหลัก” นายสมบัติ กล่าว
นายอมร จันทรสมบูรณ์ นักวิชาการอิสระ รัฐธรรมนูญปี 40 เป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการณ์ที่ทำให้ ส.ส.ไม่เป็นอิสระ เพราะผู้ร่างเปิดโอกาสให้นายทุนเข้ามาตั้งพรรคการเมือง จนกลายเป็นกลุ่มทุนธุรกิจ ที่เปรียบเสมือนการตั้งโต๊ะอาหารไว้รอให้บรรดานายทุนรวมทุนกันตั้งพรรคเพื่อมาผูกขาดอำนาจรัฐและคอร์รัปชัน จึงถือเป็นความล้มเหลวในการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 1 ที่ก่อให้เกิดเผด็จการรัฐสภา และมีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งทางนโยบาย โดยการตรากฎหมายเพื่อผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมือง ดังนั้น การปฏิรูปการเมืองรอบ 2 จะสำเร็จหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับผู้ร่างรัฐธรรมนูญ สำหรับตนเสนอให้มาจาก ส.ส. ส.ว. และการแต่งตั้งโดยผ่านองคมนตรี