xs
xsm
sm
md
lg

รพ.เอกชนเชียงใหม่เมิน“30บาท”อ้างขาดทุนยับ

เผยแพร่:   โดย: สำนักข่าวประชาธรรม

เชียงใหม่ : โครงการ30บาทส่อเค้าวุ่น หลังรพ.เอกชนถอนตัวเป็นแห่งที่3 ชาวบ้านวอนเจ้าหน้าที่ชี้แจงด่วน หวั่นการรักษาสะดุดไม่ต่อเนื่อง ด้านสาธารณสุขจังหวัดแจงอยู่ระหว่างหารพ.ทดแทน มั่นใจไม่กระทบประสิทธิภาพการรักษาแน่

ตามที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคจ.เชียงใหม่มีความประสงค์จะถอนตัวออกจากโครงการ 30 บาทช่วยคนไทยห่างไกลโรค (30 บาทรักษาทุกโรค) หลังจากเข้าร่วมโครงการฯเมื่อเดือนมกราคม 2545 เป็นต้นมา นับเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 3 ที่ขอถอนตัวออกจากโครงการฯ ส่งผลให้ประชาชนในเขต ต.วัดเกต ต.หนองป่าครั่ง ต.หนองหอย และประชาชนบางส่วนในเขตรอยต่ออ.สันทรายและอ.สันกำแพง กว่า 20,000 รายจะสามารถใช้สิทธิบัตรทองรับบริการทางสุขภาพกับรพ.แมคคอมิคได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2549 แล้วต้องไปขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลแห่งใหม่แทนนั้น

นายสมนึก กิ่งกาญจนาธร เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นว่า ขณะนี้ทางคณะทำงานหลักประกันสุขภาพ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่กำลังเร่งพิจารณาคัดเลือกสถานบริการสุขภาพแห่งใหม่มาทดแทนให้กับประชาชนในเขตความรับผิดชอบเดิมของรพ.แมคคอร์มิคเบื้องต้นคาดว่าอาจต้องใช้สถานบริการสุขภาพหลายแห่งมารองรับ เนื่องจากเป็นพื้นบริการสุขภาพที่ค่อนข้างใหญ่ครอบคลุมหลายตำบล ทั้งนี้หาคณะกรรมการของจังหวัดมีมติที่ชัดเจนแล้ว จะประชาสัมพันธ์ประชาชนรับรู้ผ่านทางผู้นำชุมชนต่อไป

นายสมนึก กล่าวเสริมว่า “อยากให้ประชาชนที่ถือบัตรทองกับรพ.แมคคอมิควางใจเรื่องการจัดหาสถานบริการทดแทน แม้ตัวอ.เมืองจะมีลักษณะพิเศษ ที่ไม่มีโรงพยาบาลในสังกัดปลัดกระทรวงสาธารณสุขอยู่เลย แต่ทางสาธารณสุขจังหวัดก็ได้มองถึงการใช้ทรัพยากรสาธารณสุขทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้บริการประชาชน ปัจจุบันหากไม่นับรพ.แมคคอร์มิคก็มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมโครงการถึง 5 แห่ง ซึ่งเพียงพอกับการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ”

ส่วนสาเหตุที่รพ.แมคคอร์มิคขอถอนตัวจากโครงการ30บาทนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ชี้แจงว่า รพ.ได้ทำหนังสือแจ้งกับทางสาธารณสุขจังหวัดแล้ว โดยให้เหตุผลว่าประสบภาระปัญหาทางการเงินอย่างไรก็ตามตนก็ได้รับการชี้แจงอย่างไม่เป็นทางการว่า รพ.ไม่พึงพอใจที่ผู้เข้ารับบริการ 30 บาท ไปต่อว่า และเรียกร้องสิทธิการรักษามากกว่าที่โครงการ30บาทคลอบคลุม ซึ่งเป็นการหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีของโรงพยาบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการสาธารณสุขในทุกระดับ

น.ส.อาริษา กาละปัน เจ้าหน้าที่โครงการเสริมสร้างความรู้เรื่องหลักประกันสุขภาพ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีจังหวัดเชียงใหม่ ให้ความเห็นว่า การถอนตัวของโรงพยาบาลออกไปจากระบบหลักประกันสุขภาพในโครงการ 30 บาท ย่อมส่งผลให้โรงพยาบาลในพื้นที่ใกล้เคียงต้องรับภาระให้บริการประชาชนหนักขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยให้การเข้ารับบริการใช้เวลานาน หรือมีประสิทธิภาพลดลง ส่วนผู้ติดเชื้อซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างอำเภอ แต่ย้ายสิทธิเข้ามารับบริการในอ.เมือง อาจมีปัญหาต้องกลับไปใช้สิทธิตามภูมิลำเนาเดิม ซึ่งทำให้เกิดความลำบากในการเดินทาง ไปรับยาต้านไวรัสทุกๆ เดือน หรือเข้าตรวจ CD4 ทุกรอบ 3 เดือนเป็นต้น

“เหตุการณ์ครั้งนี้ควรจะเป็นกรณีตัวอย่างให้สาธารณสุขจังหวัด หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาหามาตรการรองรับการถอนตัวของโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ30บาทไว้ล่วงหน้า เนื่องจากการเข้ารับบริการของประชาชน ไม่ควรสะดุด หรือเกิดความไม่มั่นคง ไม่มั่นใจใดๆ” น.ส.อาริษา กล่าว

ด้านนางจุ่ม ถิ่นยม ชาวบ้านต.หนองหอยรายหนึ่ง กล่าวว่า ตนมีบัตรทองของรพ.แมคคอมมิค แต่ไม่เคยใช้สิทธิ 30 บาท เนื่องจากจะได้รับบริการล่าช้ากว่าการจ่ายค่ารับบริการตามอัตราปกติ แต่อย่างไรก็ตามการที่ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพอย่างทั่วถึง ทำให้เกิดความอุ่นใจ และมีความไว้วางใจในการเข้ารับบริการทางสุขภาพในยามที่ตนขัดสน

ส่วนกรณีรพ.แมคคอร์มิคถอนตัวนั้น นางจุ่ม กล่าวว่า ได้รับทราบข่าวนี้มานานแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการชี้แจงเพิ่มเติมว่าจะเปลี่ยนไปรับบริการจากสถานพยาบาลแห่งไหน ชาวบ้านบางส่วนก็กังวลกันว่าการรับใช้บริการกับรพ.แมคคอร์มิคอาจมีอุปสรรค โดยเฉพาะในกรณีการเจ็บป่วยที่ต้องใช้ระยะเวลาวินิจฉัย หรือการรักษาเป็นเวลานานจนเกินกว่าวันที่ 30 ก.ย.49 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการให้บริการ 30 บาท ก็ทำให้ดูแลรักษาไม่ต่อเนื่อง และอาจมีปัญหาในการส่งมอบผู้ป่วยก็ได้ ตนจึงอยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องชี้แจง และตอบข้อสงสัยอย่างเร่งด่วน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานหลักสุขภาพแห่งชาติ และสำนักวิจัยเอแบค-เคเอสซี อินเตอร์เนตโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ร่วมกันการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนและผู้ให้บริการต่อการดำเนินงานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปี 2548 พบว่าประชาชนผู้รับริการมีความพึงพอ ต่อบริการของ แพทย์ พยาบาล คุณภาพยา คุณภาพเครื่องมืออุปกรณ์ ด้านความสะดวกในการใช้บริการ ความสะดวกในการเดินทาง และผลการรักษา พบว่า ผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจมากขึ้น ยกเว้นเรื่องความสะดวกในการเดินทาง ซึ่งผลสำรวจปี 2548 ลดลงจากปี 2547

ด้านความพึงพอใจโดยรวมต่อการดำเนินงานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เมื่อกำหนดคะแนนเต็มเท่ากับ 10 คะแนน พบว่า ความพึงพอใจโดยรวมต่อการดำเนินงานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปี 2548 มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.83 คะแนน เมื่อเทียบกับผลการสำรวจปีที่ผ่านมาพบว่าไม่แตกต่างกันโดยคะแนนเฉลี่ยของปี 2547 เท่ากับ 7.88 ความเห็นในข้อดี และสิ่งที่ควรปรับปรุง

ด้านความเห็นในเรื่องข้อดีและข้อที่ควรปรับปรุง ผลการสำรวจในปี 2548 ยังตอบในทำนองเดียวกันกับสองปีที่ผ่านมาคือ ข้อดี อันดับแรกคือ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ราคาถูก อันดับที่สองคือ เป็นการช่วยเหลือคนยากจน ดีสำหรับคนจน ดีสำหรับผู้มีรายได้น้อย และอันดับสามคือ การเดินทางไปสถานพยาบาลสะดวกสบาย ใกล้บ้าน ส่วนข้อควรปรับปรุงของโครงการ 30 บาท อันดับแรกคือ ปรับปรุงเรื่องการรอตรวจ รอรับยา ซึ่งใช้เวลานาน อันดับสองคือ ปรับปรุงคุณภาพการรักษาพยาบาล คุณภาพยา อุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ อันดับสาม คือ เปิดโอกาสให้ใช้บริการได้ทุกสถานพยาบาล

ส่วนการสำรวจความคิดเห็นของผู้ให้บริการที่มีต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปี 2548) : กรณีศึกษาตัวอย่างบุคลากรผู้ให้บริการในสถานพยาบาลที่เข้าร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) จาก 13 จังหวัดทั่วประเทศ ในกลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มวิชาชีพ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกสังกัดและทุกภูมิภาคจาก 13 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ นนทบุรี ชลบุรี พิจิตร พิษณุโลก เชียงใหม่ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ขอนแก่น ตรัง และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,886 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 2 - 26 มิถุนายน 2548

ผลการสำรวจระบุว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเด็นที่ประชาชนมีโอกาสในการรับบริการที่เท่าเทียมกันและได้รับบริการที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้งการให้บริการอย่างมีคุณภาพ และเมื่อกำหนดคะแนนเต็มเท่ากับ 10 คะแนน ในด้านผลต่อประชาชน พบว่ามีค่าคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจเฉลี่ย 7.54 คะแนน (ในปี 2546 และ ปี 2547 เท่ากับ 7.46 และ 7.50 ามลำดับ) ในด้านผลต่อผู้ให้บริการมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 5.42 คะแนน (ในปี 2546 และ ปี 2547 เท่ากับ 4.96 และ 4.94 ตามลำดับ

โดยสิ่งที่ควรปรับปรุงเร่งด่วนของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อันดับแรกได้แก่ ปรับปรุงระบบงบประมาณให้เพียงพอเหมาะสม สอดคล้องกับความเป็นจริง/จัดงบประมาณให้ถึงหน่วยปฏิบัติอย่างรวดเร็ว (ร้อยละ 21.5) อันดับสองได้แก่ สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิและการใช้สิทธิในโครงการ 30 บาท/ประชาสัมพันธ์ข่าวสารโครงการ 30 บาทให้ประชาชนได้ทราบ และอันดับสามได้แก่ ปรับปรุงเรื่องสวัสดิการ ค่าตอบแทนแก่บุคลากร เพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจ มีความมั่นใจในอาชีพของตนเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น